“นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” ประกาศข้ามทวีป จะเปิดเวทีอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในต้นเดือนธ.ค.นี้ เพื่อประกาศ “ล้างหนี้” ทั่วประเทศ แถมสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งประสานงานกับพื้นที่ เข้ากวาดล้างบรรดา “เจ้าหนี้นอกระบบ” กันถึงหมู่บ้านกันทีเดียว
ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่ “นายกฯเศรษฐา” นำทีมแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง แบบไม่มีเหน็ดไม่มีเหนื่อยอย่างจริงแท้แน่นอน
แม้ว่านโยบายหลักอย่างการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงก็ตาม!!
แถมยังมี “ด่านเสี่ยง” ที่รัฐบาลต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ทั้งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ และความเห็นของทั้ง 2 สภา
ทั้งหมดต้องมารอดูว่าประชาชน 50 ล้านคนที่ได้สิทธิ์ จะได้ใช้เงินจริงๆ จังๆ ภายในเดือนพ.ค.ปีหน้า ตามที่ “นายกฯเศรษฐา” ได้ประกาศไว้หรือไม่?
ด้วยกระบวนการทำงานนั้น ดูเหมือน…บรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะถูกมัดมือชก ไปแบบงงๆ เพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด เพราะรัฐบาลต้องรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้
การประกาศล้างหนี้ในครั้งนี้ “นายกฯเศรษฐา” ได้หยิบยก “ผลโพล” ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนถึงความต้องการให้ “นายกฯเศรษฐา” แก้ปัญหาอะไร มาเป็นโจทย์ใหญ่
หนึ่งในคำตอบที่สำคัญ !! คือเรื่องของการ “แก้หนี้” ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาทางสังคม ทั้งเรื่องของอาชญากรรม ทั้งเรื่องของยาเสพติด ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง
ต้องถือว่า…การแก้ไขปัญหาหนี้ ถือเป็น “เรื่องใหญ่” ไม่น้อย!! เพราะอย่างที่รู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ในเมื่อ…รายได้มีไม่พอกับรายจ่าย ก็หนีไม่พ้นที่ต้องเป็นหนี้!!
ไม่เพียงแค่นี้!! ที่มาของการเป็นหนี้ ยังต้องขึ้นอยู่กับ “นิสัย” ของลูกหนี้ เป็นสำคัญด้วยเช่นกัน!!
เพราะหากความอยากได้!! อยากมี!! อยากทัดเทียม!! หรือ ไม่อยากน้อยหน้าคนอื่น!! ยังติดอยู่กับตัวลูกหนี้ จนกลายเป็นนิสัยที่ไม่สามารถเลิกไม่ได้
ต่อให้…รัฐบาล หรือใครต่อใคร ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแค่ไหน จะลดหนี้ ตัดหนี้ หรือยกหนี้ให้ สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ที่สำคัญ หากนโยบายของรัฐบาลไม่ครอบคลุมดีพอ ไม่รอบคอบดีพอ ไม่ชัดเจนดีพอ ก็…อาจนำไปสู่การเกิด Moral hazard หรือวัฒนธรรมจงใจผิดนัดชำระหนี้ ก็เป็นไปได้
ข้อมูลของแบงก์ชาติ และสภาพัฒน์ ที่รัฐบาลได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกนโยบาย พบว่า ณ ไตรมาสแรกของปี 66 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพี อยู่ที่ระดับ 91.6%
นอกจากนี้… หนี้ครัวเรือนไทย ยังมีสัดส่วนที่สูง เป็นอันดับที่ 7 ของโลก เท่ากับประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และฮ่องกง
ขณะที่ข้อมูลของ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 60-65 สัดส่วนคนไทยที่มีหนี้เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 37% ของประชากรไทย ซึ่ง 57% ของคนไทยที่มีหนี้ ก็ มีหนี้เกิน 1 แสนบาท มีมูลหนี้เฉลี่ยต่อคน 5.2 แสนบาท ซึ่งในภาพรวมแล้ว พบว่า … มูลหนี้ของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ คนไทยยังมีบัญชีหนี้หลายบัญชี โดย 32% ของคนไทย มีหนี้ 4 บัญชีขึ้นไป เช่น มีหนี้บัตรเครดิต 3 ใบ มีหนี้รถ 1 คัน เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีสินเชื่อส่วนบุคคลอีก 1 บัญชี รวมเป็น 5 บัญชี
แต่…โดยเฉลี่ยแล้ว ส่วนใหญ่เป็นหนี้ 3 บัญชีต่อคน สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่า คนไทยมีหนี้เยอะ!!
หากแบ่งสัดส่วนหนี้เป็น 2 ประเภทกว้าง ๆ คือ 1.หนี้ที่ไม่สร้างรายได้ หรือ หนี้พึงระวัง กับ 2.หนี้ที่สร้างรายได้ ยังพบว่า 2 ใน 3 ของบัญชีหนี้ครัวเรือนทั้งหมดของไทย อาจเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้
เพราะ…เมื่อดูประเภทสินเชื่อแล้ว ส่วนใหญ่สินเชื่อที่ไม่สร้างรายได้ ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วน 39% รองลงมา คือ บัตรเครดิต 29% มอเตอร์ไซค์ 2% รถยนต์ 10% บ้าน 4% ธุรกิจ 4% และการเกษตร 12%
ส่วนหนี้ที่สามารถสร้างรายได้ อย่างหนี้เพื่อธุรกิจ หนี้บ้าน จะพบว่า มีสัดส่วนจำนวนบัญชีเพียงอย่างละ 4% เท่านั้น จากบัญชีทั้งหมด ด้วยเหตุนี้สถานการณ์หนี้ของคนไทยจึงน่ากังวลไม่น้อย
ขณะเดียวกันยังพบว่า…คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งทำงาน ก็มีหนี้เร็วขึ้น แถมยังเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนคนมีหนี้เสียสูงที่สุด 1 ใน 2 ของคนรุ่นใหม่ก็นทีเดียว ที่สำคัญสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอลด 12 ปีที่ผ่านมา
ที่น่าห่วงไม่น้อย!! ก็คงหนีไม่พ้น กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่พบว่า ตลอด 12 ปี สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ ของคนทั้งสองกลุ่ม อยู่ที่ 34% และ 41% นั่นหมายความว่า… หนี้ที่มีอยู่อาจเกินกำลังจ่าย!!
นี่…เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของข้อมูล เสี้ยวหนึ่งของปัญหา ของจริง…ยังมีองค์ประกอบอื่นอีกไม่น้อย ก็ได้แต่หวังใจว่า… นายกฯเศรษฐา จะปลดเปลื้องปัญหานี้ได้แบบ 100% ในทุกด้าน!!
……………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
