หายไปนานกว่า 3 เดือน!! กับการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ “ศบศ.”
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาภาคเอกชน ต่างส่งเสียงเรียกร้องกันแทบทุกเดือน เพื่อให้ “บิ๊กตู่” ในฐานะประธานในที่ประชุมรื้อฟื้นการประชุมกันขึ้นมาเสียที
เพราะคณะกรรมการชุดนี้ ถือเป็นคณะกรรมการที่พิจารณามาตรการทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งหมด ก่อนนำเสนอให้ศบค.ชุดใหญ่และเสนอต่อครม.พิจารณาเห็นชอบ
คร่าว ๆ ง่าย ๆ หมายความว่า…ศบศ.จะเป็นต้นเรื่องทางด้านเศรษฐกิจทั้งหมด จะทำอะไร จะออกนโยบายอะไร จะช่วยคนไทย ช่วยเอกชน ช่วยธุรกิจ อะไร
แต่พอมีการระบาดระลอกสองของเจ้าไวรัสร้ายออกมาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ทำให้ที่ประชุมศบศ.หยุดชะงัก ล่าช้าออกไป ทำเอาบรรดาภาคเอกชนต่างใจสั่น!!ใจหาย!!
เมื่อมีเสียงเรียกร้องกันมากมาย “บิ๊กตู่” เลยจัดให้กับการประชุมศบศ. ที่จะเริ่มต้นอีกครั้งในวันที่ 26 มี.ค. โดยเรื่องที่หยิบยกนำมาหารือหนีไม่พ้นเรื่องของการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
พื้นที่แรกที่เป็นพื้นที่นำร่อง คงหนีไม่พ้นเมืองท่องเที่ยวอย่าง “ภูเก็ต” ที่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ภูเก็ตแทบจะอยู่ได้ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก
เมื่อถูกไวรัสร้ายโจมตี ทำให้เมืองท่องเที่ยวแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้าง ภาคเอกชนทั้งเล็กทั้งใหญ่ ปาดน้ำตาปิดกิจการกันเป็นแถว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวก็ไม่มีเงินไม่มีรายได้
ส่วนจะเตรียมพร้อม เตรียยมรับมือกันอย่างไร คงต้องรอดูผลงาน เพราะอย่างน้อยในเรื่องของความเชื่อมั่น การดูแลแก้ไขป้องกันป้องปราม เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสร้าย ไทยก็ติดอันดับเป็นที่ชื่นชมของต่างประเทศอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อมีเรื่องของ “วัคซีน” เข้ามาเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ขึ้นอยู่กับว่า ไทยจะพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบเต็มรูปแบบเมื่อไหร่ต่างหาก
ก่อนหน้านี้ศบค. ได้วางไทม์ไลน์ของการเปิดประเทศไว้ว่า จะลดเวลาการกักตัวเหลือ 10 วันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ทั้งผู้ที่มีรับวัคซีนแล้วและยังไม่ได้รับวัคซีน และเมื่อมีความพร้อม จะลดเวลากักตัวเหลือ 7 วัน
ขณะที่ระยะที่ 2 จะเริ่ม 1ก.ค.-30 ก.ย. ส่วนระยะที่ 3 ก็เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป โดยไม่ต้องกักตัวในบางพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขว่าบุคลากรทางการแพทย์ต้องได้รับวัคซีนแล้ว 70%, ประชาชนได้รับวัคซีนตามเป้าแล้ว และเปิดรับบุคคลที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำในระยะเริ่มต้น
แต่ก็ยังมีข้อแม้ในการกักตัว 14 วัน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์!
ขณะเดียวกัน ศบศ. ยังเตรียมพิจารณาคือ เรื่องความเป็นไปของสถานการณ์เศรษฐกิจ ว่าดีขึ้นมากน้อยอย่างไร เพราะอย่าลืมว่า มาตรการของรัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้ ก็ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการคนละครึ่ง ที่คนทั่วประเทศ “ชื่นชม”
ในเมื่อเป้าหมายของรัฐบาลได้ประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า จะอย่างไรก็ตามที เศรษฐกิจปีวัวปีนี้ ต้องฟื้นตัวขึ้นมาให้ได้อย่างน้อยในระดับที่ 4 % แม้ไม่ใช่ระดับตามศักยภาพของเศรษฐกิจไทยก็ตาม
แต่อย่าลืมว่ารัฐบาลได้เทเงินลงเงินไปจำนวนเป็นล้านล้านบาท เพื่อกู้เศรษฐกิจ เพื่อประคองเศรษฐกิจ ให้อยู่รอด ดังนั้นก็ต้องมีการวัดผล ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ลงไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจหมุนไปได้กี่รอบ
ขณะเดียวกันก็ต้องมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วย ว่าเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย พร้อมเปิดประเทศได้แล้ว สิ่งสำคัญหลังจากนั้นที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้ดี คือเรื่องของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชน ที่ต้องหยุดชะงักงันไปเพราะไวรัส
การเตรียมสารพัดมาตรการออกมาจูงใจการลงทุนให้กับภาคเอกชน จึงมีอยู่อย่างมากมาย เพราะหากไทยไม่มีมาตรการที่ดึงดูดได้ดีพอ รวมถึงได้ดีพร้อม
ก็เชื่อได้ว่าประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่าง เวียดนาม จะเดินหน้าแซงไทยแบบไม่มีสะดุดกันทีเดียว !!!
ดังนั้นจึงต้องมารอดูกันว่า เมื่อ “บิ๊กตู่” เดินหน้าฟื้น ศบศ. เวทีทางด้านเศรษฐกิจ ขึ้นมาแล้ว จะโดนใจ!! จะถูกใจ ดั่งที่รอคอยกันแค่ไหน?
………………………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo