การจัด คอนเสิร์ต “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ที่สิงคโปร์ กำลังกลายเป็นประเด็นที่มีการนำมาพูดถึงกันอีกครั้งในช่วงนี้ ทั้งกระแสดราม่าที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลว่าบรรดา “สวิฟตี้ชาวไทย” ถูกโกงค่าบัตรคอนเสิร์ต
หรือ….แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่ ทำไม “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ถึง “เท” ประเทศไทย ไม่สามารถมาจัดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย โดยหยิบยกเอาเหตุผลที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ให้ไว้ระหว่างการประชุม iBusiness Forum 2024 เมื่อกลางเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
เอาเป็นว่ากระแสที่เกิดขึ้นในครั้งนี้… ได้กลายเป็นที่มาของนโยบายรัฐบาล ที่เตรียมงัดมาตรการทางด้านภาษี วีซ่า เพื่อเป็นแรงดึงดูดในการดึงคอนเสิร์ตต่างประเทศ มาจัดที่ไทย
รวมไปถึง การดึงดูดให้มีการใช้ไทยเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างประเทศ เช่นเดียวกับ การกระตุ้นให้มีการจัดบิ๊กอีเว้นท์ในไทยอย่างต่อเนื่องแบบแนบแน่น
ทั้งหลายทั้งปวง…ก็เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ ให้หลั่งไหลเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่
ในเมื่อพระเอกทางเศรษฐกิจอย่าง “การส่งออก” ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดีอีกต่อไป ความพยายามสร้างจุดขาย โดยดึงจุดเด่นของไทย เพื่อให้ต่างประเทศเข้ามาใช้ศักยภาพของไทย จึงกลายเป็น “เป้าหมาย” ของรัฐบาล
ว่ากันว่า…การจัดคอนเสิร์ตของ “เทเลย์ สวิฟต์” ในสิงคโปร์ 6 รอบ คือวันที่ 2-9 มี.ค.นี้ จะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์ได้มากกว่า 17,900 ล้านบาททีเดียว
ขณะที่เมื่อปีที่แล้วการจัดแสดง 60 รอบของ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ก็ทำรายได้เข้าประเทศสิงคโปร์ ไปแล้วกว่า 35,000 ล้านบาท โดยสามารถขายตั๋วได้กว่า 4.35 ล้านใบ
นอกจากนี้ยังมีการอ้างอิงด้วยว่า…การจัดคอนเสิร์ตที่ออสเตรเลีย ใน 7 รอบ ก่อนหน้านี้ ก็ทำเงินเข้าระบบเศรษฐกิจของออสเตรเลีย ได้กว่า 12,955 ล้านบาท หรือแม้แต่ที่ญี่ปุ่น ที่จัด 4 รอบ ก็ทำเงินได้ไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า…ทำไม? “นายกฯเศรษฐา” จึงต้องการให้เกิดการจัดคอนเสิร์ตระดับโลกโดยนำเอาศิลปินระดับ A-List เข้ามาจัดในไทย
ไม่เพียงเท่านี้…ยังปิ๊งไอเดียไว้ด้วยว่า ในช่วงที่มีศิลปินระดับโลกตัวพ่อ-ตัวแม่ เข้ามาก็ยังจัด “เฟสติวัล” อย่างควายสวยงาม มวยไทย ไทยไฟท์ หรือศิลปกรรมต่างๆ
ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อทำให้บรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาดูคอนเสิร์ต ขยายเวลาการพำนัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
สุดท้าย!! ก็นำไปสู่การทำให้ไทยเป็นจุดหมายการเดินทางของโลก กลายเป็น “ฮับ” เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว หากทำได้ รายได้มหาศาลก็จะหลั่งไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
มีการคาดการณ์กันว่า ในช่วง 10 ปีจากนี้ หรือตั้งแต่ปี 2567-2577 ความต้องการในการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมทั่วโลก จะเติบโตมากถึงปีละ 4.3% และมีมูลค่าสูงถึง 2.38 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2577
เหตุผลสำคัญก็มาจากแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ต้องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับชุมชนที่สนใจ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความชื่นชอบระหว่างกัน
ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวของไทย ได้กลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจ ในแต่ละปีทำรายได้เฉลี่ยมากถึงปีละ 1-2 ล้านล้านบาท และที่พีคที่สุดก็ช่วงก่อนเกิดโควิดในปี 2562 ที่มีรายได้มากถึง 3 ล้านล้านบาท
ส่วนในปีนี้ ปี 2567 รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอย่างน้อย ภาคการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 3 ล้านล้านบาท หลังจากการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว
รัฐบาลได้ทำทุกอย่างเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทย ทั้งการใช้มาตรการวีซ่า-ฟรี ถาวรกับประเทศจีน และยังมีมาตรการวีซ่า-ฟรี เป็นการชั่วคราวกับอีกหลายประเทศ ทั้งอินเดีย ทั้งคาซัคสถาน
ล่าสุด!! รัฐบาลกำลังเร่งร่างกฎระเบียบ เพื่อออกมาตรการจูงใจทางด้านภาษี สำหรับการจัดงานต่างๆ ในไทย เพื่อให้แข่งขันกับต่างชาติได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย งานคอนเสิร์ต งานอีเว้นท์สารพัด ทั้งการแข่งขันอี-สปอร์ต การจัดงานแสดงสินค้า ซึ่งก็รวมไปถึงการให้เงินสนับสนุน
ทั้งหมด!! คงต้องมารอดูกันว่า ความพยายามดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าไทยให้ได้มากที่สุดในทุกทาง จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด?
………………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo