หากไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์กันอีก!! ก็เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 คงไม่เป็นของคนอื่นใดอีก นอกจาก “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร”!!
ที่สำคัญ!! “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ต่อจาก “อาปู” หรือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 28 ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดของไทย…อีกต่างหาก!!
การเข้ามาของ “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ หรือคาดไม่ถึง แต่เป็น “เว” ที่มีการวางไทมไลน์ วางจังหวะเวลากันไว้อยู่แล้ว
แต่ถ้าถามว่าเร็วเกินไปมั๊ย? เรื่องนี้…หลายฝ่ายอาจตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า “เร็วไป” แต่ในเมื่อวางตัวไว้แล้ว และในเชิงการเมืองน่าจะมีผลที่ดีกว่า!! ก็ไม่จำเป็นที่ต้องทอดเวลาออกไปอีก
ส่วนจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน? เวลานี้น่าจะเร็วไปสำหรับคำตอบ!! เพราะผลงานไม่ได้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญสารพัดสารพันปัญหา
“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ต้องโชว์ฝีมือ โชว์วิสัยทัศน์ ดึงดูดคนไทยทั้งประเทศให้ได้ เพราะต้องยอมรับว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถดึงดูดใจคนไทยทั้งประเทศได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนเหมือนโครงการจะคลอดสำเร็จ แต่กลับมีกระแสข่าวว่า “นายใหญ่” ตัวจริงเสียงจริงจะ “ยกเลิกโครงการ” เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
หากเรื่องนี้ “ถูกต้อง” เชื่อเถอะปัญหาบังเกิดแน่ โดยเฉพาะความไว้จากพี่น้องคนไทยกว่า 30 ล้านคนที่เข้ามาลงทะเบียนขอรับสิทธิ์
เรียกได้ว่า มากเกือบ 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับคะแนนเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้มากว่า 10 ล้านคะแนนเสียง นอกเสียจากว่า…จะมีโครงการแจกเงินแบบอื่นเข้ามาทดแทน
อย่าลืมว่า…ทันทีที่มีกระแสข่าวยกเลิกโครงการ ปรากฎว่า บรรดาชาวเน็ตแห่โพสต์ แห่แชร์ แห่ลบแอปพลิคเชั่น “ทางรัฐ” กันเป็นแถว เพราะผิดหวังกับนโยบาย
เหนืออื่นใด!! กลับกลายเป็นว่าชาวบ้านชาวช่องต่างส่งเสียงเรียกร้อง ขอ “โครงการคนละครึ่ง”” กลับคืนมา และไม่ใช่เพิ่งเกิดในช่วงอุบัติเหตุทางการเมืองที่เกิดขึ้นเท่านั้น
แต่…เป็นการเรียกร้องกันมาสักพักใหญ่ เพราะโครงการนี้ลูกผี-ลูกคน ไม่รู้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ แถมเงื่อนไขยังยากเข้าไปอีก โดยเฉพาะการกำหนดสินค้าที่ไม่สามารถใช้ได้ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือโทรศัพท์มือถือ
ไม่เพียงเงินดิจิทัล วอลเล็ต เท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายโครงการ ที่คนไทยทั้งประเทศ ยังรอคอยความหวัง ทั้ง การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท-เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้นเดือนละ 25,000 บาทภายในปี 2570 ที่ ณ เวลานี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง
หรือ…ครัวเรือนมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท-เติมรายได้ด้วยความรู้และซอฟท์เพาวเวอร์ ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเช่นกัน รวมถึงการ แก้หนี้นอกระบบ 1.4 ล้านราย แม้เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นทั่วไทย และยังไม่มีผลสำเร็จ
เช่นเดียวกับ การแก้ไขปัญหาหนี้เอสเอ็มอี 2 แสนล้านบาท แม้รัฐบาลของอดีตนายกฯเศรษฐา ได้คลอดหลา
มาตรการออกมาแล้วก็จริง อย่างมาตรการ 3 ลดปลดหนี้ ที่รับหน้าที่โดยเอสเอ็มอีดีแบงก์ ทั้งพักหนี้ 1 ปี ลดดอกเบี้ย 1% และอีกหลายมาตรการ
ก็ใช่ว่าเอสเอ็มอีจะฟื้นชีพตื่นขึ้นมาได้ทันทีทันใด ยังต้องมีมาตรการโอบอุ้มต่อเนื่อง ฝ่าฟันให้พ้นสารพัดปัจจัยเสี่ยงในเวลานี้ต่อไปให้ได้
ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการสนับสนุนธุรกิจสมัยใหม่ลงทุนในไทย เพื่อเพิ่มฐานภาษีธุรกิจใหม่ การเปิดพื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ และนวัตกรรมใหม่ โดยที่ผ่านมา นโยบาย “แลนด์บริดจ์” ก็ดูเหมือนจะไร้บทบาท แต่ได้ย้ายบทบาทมาอยู่ที่ โครงการเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ โดยเฉพาะการผุดขึ้นในพื้นที่สำคัญอย่างอีอีซี
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี-เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า-การจัดทำหวยบำเหน็จ ที่เข็นกันจนออกมาสำเร็จไปแล้ว รวมถึง รถไฟฟ้า กทม. 20 บาทตลอดสาย พร้อมกับการขยายเส้นทางระบบทั่วประเทศ
นโยบายด้านเศรษฐกิจเหล่านี้ เกิดขึ้นภายใต้คอนเส็ปต์ที่ว่า “เพิ่มรายได้-ลดหนี้-สร้างโอกาสใหม่ธุรกิจ” ซึ่งก็อย่างที่บอก…ว่ายังมีอีกหลายโครงการ ที่ยังไม่เห็นความคืบหน้า และอีกหลายโครงการก็ยังไม่บังเกิด
แม้หลายฝักหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดากูรู บรรดานักธุรกิจ อาจไม่เชื่อมือ อาจไม่มั่นใจ ในฝีมือของ “นายกรัฐมนตรีป้ายแดง” ด้วยเพราะประสบการณ์แทบไม่มี
เหล่านี้!! จึงกลายเป็นโอกาสสำคัญที่ “นายกฯคนใหม่” ต้องแสดงฝีมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทายสารพัด สุดท้าย!! ก็คงต้องอดใจรอ เพื่อพิสูจน์ฝีมือ “ดีเอ็นเอ” ของ “นายใหญ่” กันสักหน่อย…
………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo