การเข้ามาเป็น ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ของ “เสี่ยโต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ถือว่า ไม่ได้พลิกโผ หรือผิดแปลกแหวกแนวอะไร? เพราะธง…ของรัฐบาลเพื่อไทย ได้ส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว
ที่สำคัญ!! เป็นการส่งสัญญาณมาตั้งแต่สมัย “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีความคิด…ความอ่าน ที่ไม่ตรงกันมาโดยตลอด ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะยุคไหน? สมัยไหน? เรื่องของความคิดในเชิงนโยบายการคลัง และความคิดในเชิงนโยบายการเงิน แทบไม่เคยไปด้วยกันด้วยซ้ำไป
ต่อให้ ไม่ใช่ผู้บริหารประเทศ หรือเจ้ากระทรวง ที่ไม่ลงรอยกับแบงก์ชาติ ตัวบุคคลผู้ทำงานเอง ต่างก็มักมีความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ดังนั้น!! ในเวลานี้ ก็ไม่ต้องปฎิเสธ หรือทำตัวให้สวยงามว่าไม่เกี่ยวกับ “การเมือง” เพราะมันไม่ใช่…ใครๆ ก็รู้ว่าเรื่องเช่นนี้ คือ…การเมือง!! ชัดๆ
อย่างที่หลายคนรับรู้รับทราบ “ลักษณะเฉพาะตัว” ของแบงก์ชาติเอง ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นความพยายามในการคะคาน “คนการเมือง” ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่เอาเข้าจริง ต่อให้คนการเมืองเข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ สุดท้าย!! ก็ใช่ว่าจะไปงัดไม้ซุงได้ อย่างกรณีของ “ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูร” ที่เข้ามาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เมื่อเดือนพ.ค.55 สมัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี
ที่สุดท้าย…การใช้อำนาจของประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ก็ไม่สามารถตอบสนองใดๆ ได้เหมือนกัน ทั้งที่ว่ากันไปตามจริงแล้ว “ดร.โกร่ง” ก็เป็นครูบาอาจารย์ของคนแบงก์ชาติ จำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้…ความกลัวที่ว่า การเมืองจะเข้าแทรกแซง…ก็อาจไม่มีผล !!
โดยเฉพาะในเรื่องของการ “ลบล้าง” ความอิสระของแบงก์ชาติ ด้วยการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเอื้อให้แบงก์ชาติโอนอ่อนผ่อนตามไปตาม “การเมือง”
ทั้งเรื่องของดอกเบี้ย การดูแลค่าเงินบาทรวมไปถึงการโอนหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหรือเอฟไอดีเอฟ ให้ไปอยู่ในบัญชีบริหารหนี้ของแบงก์ชาติ
หรือ..แม้แต่การนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำไปใช้ประโยชน์อื่น อย่างการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งของรัฐ หรือนำไปใช้เพื่อหาผลประโยชน์อื่นเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
เพราะ…ที่ผ่านมามีประวัติศาสตร์ให้เห็นชัดเจน ทุกครั้งที่มีความพยายามด้านใดด้านหนึ่งจากบอร์ดแบงก์ชาติ ก็จะมีแรงต้านเกิดขึ้นให้เห็นทันทีและชัดเจน
สุดท้าย!! ก็ต้องล่าถอยไปโดยสวัสดิภาพ เพราะฝ่าแรงต้านไม่ไหว!! ก็ต้องปล่อยทุกอย่างตามความเป็น “อิสระ” ของแบงก์ชาติ ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นเด่นชัดได้ว่า ทุกสิ่งอย่าง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
นอกจากนี้การทำงานของบอร์ดแบงก์ชาติ ก็ต้องทำหน้าที่ในรูปแบบของคณะกรรมการ ที่มีประธานบอร์ด ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นรองประธาน มีกรรมการ จากรองผู้ว่าการแบงก์ชาติอีก 3 คน
นอกจากนี้ยังมีเลขาธิการสภาพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือสศค. รวมทั้งต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้แต่งตั้งอีก 5 คน
ในเมื่อคณะกรรมการสรรหาฯประธานบอร์ดคนใหม่ ได้คัดเลือก “กิตติรัตน์” เข้ามาแล้ว โดยยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย 100% จากนี้ก็ต้องรอดูว่า ครม.ของ “แพทองธาร ชินวัตร” จะไฟเขียวเมื่อใด
ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ต้องรอการโปรดเกล้าฯ ให้ชัดเจน ก่อนมีผลตามกฎหมายต่อไป และต้องปฎิบัติหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนด
ไม่เพียงเท่านี้!! ประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ ที่เข้ามา ยังต้องเผชิญแรงท้าทาย อีกมาก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2
ที่เชื่อได้ว่า อีก 4 ปีจากนี้ หลายสิ่งหลายอย่างในระบบเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะแค่เพียงไม่กี่วัน เหรียญดิจิทัล อย่าง “บิตคอยน์” ก็พุ่งปรี๊ด ทะลุไป 3.1 ล้านบาทแล้ว
ว่ากันว่า… อีกไม่เท่าไหร่ ราคาบิตคอยน์ ก็อาจทะลุไปที่หลัก 1 แสนเหรียญสหรัฐฯ ก็เป็นไปได้ หลังจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ราคาบิตคอยน์ทะลุไปเท่าตัว หรือ 100%
เอาเป็นว่า!! เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว คงไม่มีอะไรที่ดีกว่าการปล่อยให้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือ!!
……………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo