เป็นที่ชัดเจนกันไปแล้ว สำหรับ ของขวัญปีใหม่อีก 1 ชิ้น ที่รัฐบาลของนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” มอบให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอีก 1 ปี !!
แม้เป็นผลงานของพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” โดย “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ที่ยอม ปรับลดค่าไฟงวดเดือนม.ค.-เม.ย.68 ให้อีกหน่วยละ 3 สต.
ต่อให้ต้องเฉือนเลือดเฉือนเนื้อของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บมจ.ปตท. ด้วยการ เลื่อนจ่ายหนี้ออกไปอีกสักหน่อย เพื่อ ลดค่าไฟจากเดิมที่ต้องเก็บหน่วยละ 4.18 บาท เหลือ 4.15 บาทก็ตาม
ก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งของขวัญตามมาอย่างต่อเนื่อง จากการประกาศแจกเงินสด 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุประมาณ 3-4 ล้านคน ในโครงการเงินดิจิทัล เฟส 2 ที่ต้องใช้เงินราวๆ 40,000 ล้านบาท
ไม่เพียงเท่านี้ยังมีของขวัญ เรื่อง การต่ออายุค่ารถไฟฟ้าสายสีแดง และสีม่วง ออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย.67 นี้ ออกไปเป็นวันที่ 30 พ.ย.68
ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของ “ไร่ละพันบาท” เพื่อช่วยเหลือ “ชาวนา” ด้วยการช่วยค่าเก็บเกี่ยวและปัจจัยการผลิตข้าว เป็นเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 10,000 บาท ใช้เงินงบประมาณ 38,000 ล้านบาท
ว่ากันว่า…มาตรการเหล่านี้ จะมีการนำไปพิจารณาเห็นชอบกันในการประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พ.ย.67 นี้ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ก๊อกแรก ให้กับประชาชนคนไทย
ส่วนของขวัญก๊อกที่สอง “นายกฯแพทองธาร” บอกเองว่า “ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ รัฐบาลจะแจกแจงผลงานที่ได้ทำในช่วง 90 วันที่ผ่านมา” ที่สำคัญยังรับรองด้วยว่า “จะมีของขวัญดีๆ มามอบให้กับคนไทย” อีกต่างหาก
เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ ก็อดใจรอกันหน่อย เพราะทุกวินาทีต่อจากนี้ ประเทศไทยกำลังย่างเข้าสู่เทศกาลแห่งความสุข ความสนุกสนาน การเดินทางท่องเที่ยว ในช่วงส่งท้ายปีก่อนจะเข้าสู่ช่วงปีใหม่ปี 2568 ต่อไป
หลังจากนั้น…คงต้องมารอลุ้นกันอีกรอบว่า เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้ว ประชาชนคนทั้งประเทศจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง เพราะสารพัดปัญหาก็ยังไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป โดยเฉพาะ “ปัญหาหนี้”
แม้เวลานี้รัฐบาลได้แย้มๆ ออกมาเพิ่มเติมแล้วว่า อาจมีการแฮร์คัตหนี้ให้กับลูกหนี้บุคคลประมาณ 1 ล้านราย แม้ไม่ใช่การยกหนี้ให้ทันที เพราะกลัวว่าจะเกิดการจงใจเบี้ยวหนี้ โดยลูกหนี้เหล่านี้ต้องชำระหนี้บางส่วนก่อน หรือจ่ายขั้นต่ำก่อนแล้วค่อยยกหนี้ให้
ล่าสุด “แบงก์ชาติ” เปิดเผยตัวเลข “หนี้เสีย” ในไตรมาส 3 ปี 67 อยู่ที่ 2.97% ของยอดสินเชื่อ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ ประมาณ 2.84% ของยอดสินเชื่อ
ที่สำคัญ “ยอดหนี้เสีย” ที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ เพิ่มขึ้นในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น หนี้เสียจากธุรกิจ ที่เพิ่มจาก 2.70% เป็น 2.84% หรือ หนี้เสียที่มาจากการอุปโภคบริโภค จาก 3.13% เป็น 3.24%
โดยเฉพาะ หนี้เสียที่มาจากอุปโภคบริโภค เมื่อดูไส้ในก็ดาหน้าเพิ่มขึ้นทุกตัว ทั้ง หนี้เสียเช่าซื้อ เพิ่มจาก 2.29% เป็น 2.33% หรือ หนี้เสียจากสินเชื่อบุคคล เพิ่มจาก 2.77% เป็น 2.89% หนี้เสียจากบัตรรูดปื๊ด ที่เพิ่มจาก 3.53% เป็น 3.65% หนี้เสียจากที่อยู่อาศัย ที่เพิ่มเป็น 3.82% จาก 3.71%
หนี้เสียที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากกลุ่มที่มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง หรือมีรายได้ที่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 บาท รวมไปถึงกลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มที่เป็นอาชีพอิสระ
ปัญหาหนี้ยังไม่ได้มีวี่แววลดน้อยถอยลง ซึ่งแบงก์ชาติเองมองว่า ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นอีก แต่เชื่อว่า จะดูแลบริหารจัดการได้ซึ่งถือว่าเป็นความกังวลในวงจำกัด
โดยที่ยังกังวลก็คือ บรรดากลุ่มหนี้ที่มีความเปราะบาง ลูกหนี้ธุรกิจ รวมทั้งรายย่อยบางกลุ่มที่มีปัญหาอยู่เดิมอยู่แล้ว ทั้งที่ลูกหนี้เหล่านี้ ได้รับการช่วยเหลือมาแล้วทั้งสิ้นตั้งแต่ช่วงโควิด
เรียกได้ว่า “ปัญหาหนี้เสีย” ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องง่ายๆ ที่สามารถแก้ไขได้โดยง่ายและโดยเร็ว เพราะกระเทือนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าหนี้” หรือ “ลูกหนี้” ด้วยเหตุผลจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้ผงกหัวขึ้นอย่างเต็มที่
แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่เป็นของขวัญปีใหม่ด้วย ในบางส่วนอาจช่วยลดผลกระทบเศรษฐกิจไทยจากปัจจัยภายนอกลงได้ เพราะมาตรการเหล่านี้รวมๆ แล้วจะมีเงินเข้าไปหมุนเศรษฐกิจกว่า 1.65 แสนล้านบาท หรือประมาณ 0.93% ของจีดีพี
แต่ในปีหน้า ใช่ว่าทุกอย่างจะฉลุย โดยเฉพาะเมื่อเจอ “นโยบายทรัมป์ 2.0” เข้าไปอีก ที่เอาจริงเอาจังกับ การเก็บภาษีนำเข้า ก็ย่อมส่งผลกระทบตามมาเป็นลูกคลื่นที่ไทยก็อาจถูกหางเลขไปด้วยไม่น้อย
ประกอบรวมความไปถึง “โครงสร้างเศรษฐกิจไทย” ที่ยังยักแย่ยักยัน จากศักยภาพที่ควรเติบโตได้ปีละ 4-5% แต่กลายเป็นว่า “ทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาก” หากไม่ทำอะไรให้ชัดเจนหรือดีกว่านี้ โอกาสได้เห็นเศรษฐกิจไทยในปี 68 หดตัวก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน!!
……………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo