การโยนกระแสการใช้ “บิตคอยน์” การใช้ “เหรียญดิจิทัล” ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันในระบบเศรษฐกิจ เพื่อเป็นตัวช่วยทำให้เกิดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กำลังเรียกกระแสจากหลายฝ่ายในหลายแง่หลายมุม
โดยเฉพาะกระแสที่ตั้งคำถามว่า…ประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหน? ที่จะใช้บิตคอยน์ จะใช้เหรียญดิจิทัล กันอย่างกว้างขวางเพื่อพัฒนาระบบการเงิน ระบบเศรษฐกิจไทย
แม้ว่าเรื่องของ “สินทรัพย์ดิจิทัล” นี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทุกวันนี้ ก็มีการซื้อ-ขายเหรียญดิจิทัล มีการลงทุนในเหรียญดิจิทัล เพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนไม่น้อย และมีผู้เล่นหน้าใหม่โดดเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมาก
แต่การจะใช้ “เงินดิจิทัล” หรือ “คริปโทเคอร์เรนซี” เข้ามาเป็นสื่อกลางในระบบการชำระเงินนั้น จะไหวหรือเปล่า ทำได้หรือไม่ หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ กระแสความพยายามการใช้ “คริปโทเคอร์เรนซี” ในการนี้ ก็เคยมีอยู่เช่นกัน
เมื่อปี 2565 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ กระทรวงการคลัง (กค.) ได้หารือร่วมกันถึงประโยชน์ ถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์ดิจิทัล
ทั้ง 3 หน่วยงาน ต่างเห็นความจำเป็นในการกำกับดูแลและควบคุมการนำสินทรัพย์ดิจิทัล มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยการใช้อำนาจตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าหรือบริการในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน “นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองว่า แนวคิดของ “ทักษิณ” อาจแยกได้เป็น 2 เรื่องคือ การให้บิตคอยน์ใช้ซื้อสินค้าและบริการได้ กับ การออกเหรียญดิจิทัลโดยนำพันธบัตรมาค้ำประกัน
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ในต่างประเทศก็มีบางประเทศที่เชื่อในบิตคอยน์ อย่าง “เอลซัลวาดอร์” แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เพราะราคาบิตคอยน์ในอดีตผันผวนหนักมาก ร้านค้าไม่นิยม ไม่อยากรับ เพราะกลัวขาดทุน
ขณะที่ การออกพันธบัตรมาหนุนการใช้เงินสกุลดิจิทัล ซึ่งถือเป็นเงินสกุลใหม่ มาแข่งขันกับเงินบาท กรณีนี้มั่นใจได้เกิน 100% ว่า แบงก์ชาติไม่เห็นด้วยแน่นอน เพราะทำให้เกิดความสับสนในการใช้เงินในประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากหันไปถามผู้คนที่อยู่ในวงการเงินดิจิทัล วงการคริปโทเคอร์เรนซี หรือคนที่เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้ เชื่อเถอะ เป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องเห็นด้วย ต้องให้การสนับสนุน
แต่การสนับสนุนที่เกิดขึ้นต้องอยู่ในวงจำกัด หรืออยู่ในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ อย่างข้อเสนอของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ระบุพื้นที่ “ภูเก็ต” ก็อาจเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำทั้งจังหวัด แต่อาจกำหนดเป็นพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว
ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ มีการใช้เงินดิจิทัลกันอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หลากหลายเป็นการทั่วไปเหมือนสกุลเงินอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ช่วยดึงเงินที่อยู่นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบได้จริงหรือไม่
ในมุมมองของผู้ที่เห็นด้วย ย้ำว่า ในเชิงเทคโนโลยี การชำระเงินด้วยคริปโตมีความพร้อมอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่มีการอนุญาตให้ดำเนินการ
ขณะที่ การกำกับดูแลก็มีกระดานเทรด ที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของ ก.ล.ต. อยู่แล้ว แต่อาจต้องขยายบทบาทให้ กระดานเทรดเป็นช่องทางหลักในการเปิดรับและเก็บรักษาธุรกรรมคริปโต เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
ในเรื่องนี้ถ้าทำให้ครอบคลุมให้ครบถ้วน ก็จะทำให้การใช้งาน “คริปโทเคอร์เรนซี” ที่เดิมอยู่ในกระดานเทรดต่างประเทศ ให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบการตรวจสอบได้
แม้สิ่งเหล่านี้!! จำเป็นที่ประเทศไทยต้องเริ่มดำเนินการได้แล้ว เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ประกาศกึกก้องในการสนับสนุนเรื่องของเงินดิจิทัลในทุกช่องทาง ในทุกรูปแบบ หากไม่ทำอะไรเลย ก็อาจทำให้ไทยหลุดขบวนเวทีโลก
อย่างที่บอก…ไม่เริ่ม ไม่สนใจชาวโลกเลยน่ะ เป็นไปไม่ได้ แต่หากจะดำเนินการก็ต้องค่อยเป็น-ค่อยไป ทำในพื้นที่จำกัด แม้บุคคลากรของไทย มีศักยภาพ มีความเชี่ยวชาญ
แต่!! ก็อย่าลืมว่า “บุคคลากร” หรือ “บุคคล” เหล่านั้น มีมาก-น้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ที่เชื่อได้ว่าไม่ใช่คนร่ำรวย และไม่ใช่คนที่จะมีความรู้ในเรื่องของเงินดิจิทัลอย่างจริงจังแบบมากมายนัก
ต่อให้มีหน่วยงานกำกับดูแลได้อย่างดี แต่ก็อย่าลืมว่า นี่ขนาด!! ยังไม่ได้มีการใช้เงินดิจิทัลอย่างเป็นการทั่วไป การหลอกลวงของมิจฉาชีพก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด
หากไทยเดินหน้าเข้าสู่โลกการเงินแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าการคุ้มครองดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ ของคนทั้งประเทศ จะปลอดภัยแค่ไหน!!
…………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo