เปิดศักราชใหม่!! เข้าสู่ ปีงูเล็ก 2568 เชื่อได้ว่า หลายคนยังรู้สึกหวาดระแวงกับเศรษฐกิจไทย ว่าจะออกมาในรูปแบบใด แม้ว่าจะเพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่กี่วันก็ตาม
แม้บรรยากาศต้นปีใหม่นี้ จะดูครึกครื้นครื้นเครงต่อเนื่องมาจากสิ้นปีที่ผ่านมา เพราะ “บรรดาผู้สูงอายุ” อีกเกือบ 4 ล้านคน กำลังรอวันรอคืน เพื่อกดเงินสด 10,000 บาท ที่ รัฐบาลอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร ได้ไฟเขียวให้ไว้ และจะกดเงินสดออกมาได้ภายในช่วงตรุษจีนนี้
บรรดานักเศรษฐศาสตร์หลายค่าย หลายสำนัก ต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปีงูเล็กนี้ เชื่อได้ว่าจะ “เหนื่อย” ต่อไปอีก หลังจากที่คนไทยทั้งประเทศได้เผชิญมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา
ที่สำคัญ!! หลายคนยังบอกด้วยว่า ปี 2568 นี้อาจหนักหนาสาหัสกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำ ด้วยเหตุใหญ่ใจความในหลายเรื่องหลายปัจจัย ทั้งภายในประเทศเอง และปัจจัยภายนอกประเทศ
โดยเฉพาะผลกระทบต่อเนื่องจากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่จะเข้ารับตำแหน่งและสาบานตนอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.68 นี้ ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา
อย่าลืมว่า ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ ก็คือเรื่องของการ “เป็นหนี้” ที่กำลังทะยานเพิ่มขึ้นมาจนจ่อคอหอยอยู่รอมร่อ แล้วก็ไม่ใช่แค่ “หนี้ครัวเรือน” แต่ “หนี้ภาครัฐ” ก็เกือบชนเพดาน “หนี้สาธารณะ” ที่ 70% เช่นกัน
นั่นหมายความว่า!! พื้นที่ทางการคลัง เหลืออยู่น้อยมาก การจะใช้มาตรการทางการคลัง เข้ามาดูแล เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ดูจะเป็นไปได้ยากมากขึ้น
ส่วน “หนี้ของภาคธุรกิจ” เอง ก็พบว่า นับวัน-นับวันก็ทะยานเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว ซึ่งก็สวนทางกับเศรษฐกิจไทยที่ดูเหมือนว่า ทุกวันนี้จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปไม่น้อย
ต่อให้รัฐบาลพยายามรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจให้โตได้ต่อเนื่อง ทั้งการ โอนเงินไร่ละ 1,000 บาท เพื่อดูแลเกษตรกร วงเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท และยังมีเงินจากโครงการ แจกเงินผู้สูงอายุ 10,000 บาท จำนวนเงิน 4 หมื่นล้านบาท
รวมถึงการเดินหน้าโครงการ ลดหย่อนภาษีอีซี อี-รีซีฟท์ (Easy E-Receipt) ที่คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบอีก 7 หมื่นล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จก็เท่ากับว่าจะมีเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท เข้าไปสู่ระบบ
และจากนั้นในไตรมาสสอง ปี 68 ก็จะเริ่มเดินหน้าโครงการ แจกเงินดิจิทัลเฟส 3 เพื่อเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจปี 68 เติบโตตามเป้าหมายที่ 3%
แต่จนแล้วจนรอด…บรรดากูรูเศรษฐศาสตร์ ต่างมองไม่ออกว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้นได้อย่างไร หลายสำนักวิจัยเศรษฐกิจออกมา ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจลงเหลือเพียง 2.4%
ปัญหาใหญ่ที่บรรดากูรูมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่คอยฉุดเศรษฐกิจ คือเรื่องของ ความเสี่ยงจากนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับการค้าโลก
เพราะการแข่งขันจากต่างประเทศย่อมรุนแรงมากขึ้น แข่งขันกันอย่างดุดันมากขึ้น ที่สำคัญ…“ไทย” ก็มีความเสี่ยงไม่น้อยที่จะถูก “ทรัมป์” ตั้งกำแพงภาษีใส่
เนื่องจากไทยยังได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯอยู่จำนวนไม่น้อย หรือกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เรียกได้ว่า “เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ” ค่อนข้างมาก หรืออยู่ในอันดับ 12 จากทั้งหมดเกือบ 100 ประเทศ
ซึ่งความเสี่ยงจากการถูกตั้งภาษีใส่นั้น คงหนีไม่พ้นสินค้าที่เป็นกลุ่มดาวเด่นของไทย โดยเฉพาะสินค้าใน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร-คอมพิวเตอร์ และยานยนต์
ด้วยเหตุนี้…โจทย์ใหญ่-โจทย์สำคัญของรัฐบาลอิ๊งค์ในปีหน้า เห็นทีหนีไม่พ้น เรื่องของการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้
อย่าลืมว่า สินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงยานยนต์…เหล่านี้ เป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐตั้งเป้าหมายผลักดันให้เกิดการใช้และผลิตขึ้นเองภายในประเทศ
ไม่เพียงเท่านี้!! ศึกใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้น ความเสี่ยงจากสินค้าจีน ที่ส่อทะลักเข้าประเทศไทยล็อตใหญ่อีกครั้ง หากจีนไม่สามารถส่งไปขายที่สหรัฐฯได้
เท่ากับว่า..ในปีนี้ “ผู้ประกอบการไทย” ต้องเสี่ยงเผชิญปัญหาถึง “สองเด้ง” ทีเดียว หากรัฐบาลรับมือหรือเตรียมการไม่ดี ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยใน “ปีงูเล็ก” นี้ ย่อมมีให้เห็นแน่
……….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo