“รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ได้เปิดตัวใหญ่โตมโหฬาร…กับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ด้วยความหวังที่ต้องการ ปลดเปลื้อง “ภาระหนี้สิน” ให้กับประชาชนคนไทย ลดน้อยลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพราะทุกวันนี้…ปัญหาหนี้สินกำลังกลายเป็นเชื้อโรคร้าย ที่คอยแทะคอยกัดกินชีวิตของคนไทยตาดำๆ ทั้งหนี้ครัวเรือน ทั้งหนี้สินของประเทศ
ผลสำรวจล่าสุดของ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ชัดว่า ในปี 67 ที่ผ่านมา หนี้สินครัวเรือนไทยถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีหนี้สินเฉลี่ยกว่า 6 แสนบาทต่อครัวเรือน
สาเหตุหลัก!! ก็มาจากรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย มีเหตุไม่คาดคิดที่ต้องใช้เงินฉุกเฉิน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น !!
ด้วยเหตุนี้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพราะรัฐบาลมองว่า เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข ก่อนที่ปัญหานี้จะทับถมจนหล่นทับเศรษฐกิจของประเทศให้พังยับเยินไปมากกว่านี้
เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาล จึงมุ่งเน้นไปที่ “ลูกหนี้รายย่อยถึงรายกลาง” ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้จักรยานยนต์ หนี้บัตรเครดิต และหนี้ธุรกิจเอสเอ็มอี
เพราะ…เชื่อว่าหนี้เหล่านี้ หากลูกหนี้มีเวลาหายใจเพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่มโอกาสให้อยู่รอดได้มากขึ้น โดยเฉพาะการนำหลักประกันทั้งบ้าน ทั้งรถ ออกมาทำมาหากินต่อไป
รัฐบาลมั่นใจว่า โครงการนี้จะทำให้ลูกหนี้กว่า 1.9 ล้านราย รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี รวมยอดหนี้ประมาณ 8.9 แสนล้านบาท จะหลุดพ้นจากความยากลำบากนี้ได้
โครงการนี้ ประกอบไปด้วย 2 มาตรการ คือ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ที่เปิดให้ลูกหนี้ บ้าน รถ และเอสเอ็มอี ที่มียอดค้างชำระหนี้และเป็นหนี้เสียแต่ไม่เกิน 1 ปี หากเข้าร่วมมาตรการ จะได้ลดค่างวด 3 ปี ปีที่ 1 ชำระ 50% ของค่างวด ปีที่ 2 ชำระ 70% ของค่างวด ปีที่ 3 ชำระ 90% ของค่างวด โดยนำค่างวดไปตัดเงินต้นทั้งหมด ไม่เก็บดอกเบี้ย 3 ปี หากทำได้ตามเงื่อนไขตลอดมาตรการ
อีกมาตรการคือ “จ่าย ปิด จบ” โดยลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียมีวงเงินไม่เกิน 5,000 บาท หากยอมชำระหนี้เพียงแค่ 10% แบงก์จะยกหนี้ที่เหลือให้ทันทีและสามารถออกจากการเป็นหนี้เสียให้อีกด้วย
หากดูเงื่อนไข เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของรัฐบาล ก็ดูดี ไม่น่ามีปัญหา เพราะไม่ทำให้เกิดอันตรายทางศีลธรรม หรือ Moral Hazard เพราะลูกหนี้ยังต้องชำระหนี้ในแต่ละงวดเหมือนเดิม เพียงแต่สัดส่วนในการชำระหนี้ในแต่ละงวดจะลดลงในช่วง 3 ปี
ที่สำคัญ!!ยังไม่สามารถก่อหนี้ในระบบเพิ่มได้ นั่น…เท่ากับว่า เป็นการควบคุมไม่ให้ปริมาณหนี้ในระบบของผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ขณะที่งบประมาณก็ไม่ได้สูงจนน่าตกอก..ตกใจ!! เพราะจำกัดเฉพาะคนที่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น แถมภาครัฐไม่ต้องชดเชยรายได้ที่หายไปของสถาบันทางการเงินทั้งหมด แต่เป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ภาระค่าใช้จ่ายระหว่างรัฐ–สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการแทน
แต่!! ล่าสุด จนถึงวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา กลับพบว่ามีลูกหนี้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการและอยู่ระหว่างตรวจสอบสิทธิ 497,552 ราย เป็นจำนวน 576,496 บัญชี
ยอดลูกหนี้ดังกล่าว กระทรวงการคลังบอกว่า เป็นยอดที่ไม่ได้รวมกับลูกหนี้ที่ลงทะเบียนกับสถาบันการเงินโดยตรง
หากมองจำนวนลูกหนี้และจำนวนบัญชี เปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือยอดสำรวจลูกหนี้ จะเห็นได้ว่าไปไม่ถึงไหน? ทั้งที่โครงการนี้เปิดตัวกันอย่างยิ่งใหญ่ และเปิดให้ลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา
แต่ปรากฎว่า ผ่านมาแล้ว 1 เดือนกับอีก 19 วัน ลูกหนี้ยังลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการไม่ถึงครึ่ง จึงไม่แปลกใจ!! ที่ “ขุนคลัง” อย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” ย่อมออกอาการ จนต้องสั่งด่วนให้บรรดาแบงก์รัฐ เร่งประชาสัมพันธ์โครงการนี้ให้มากกว่านี้
อย่างน้อยเมื่อปิดโครงการในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ต้องมีลูกหนี้เข้าร่วมโครงการให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็ต้องเกินครึ่งจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ได้
เมื่อล้วงแซะแกะเกาจากบรรดานายแบงก์ ก็พบว่า ปัญหาหนึ่งนอกจากการประชาสัมพันธ์ที่เงียบเหงา ยังมาจากเงื่อนไขที่ห้ามกู้หนี้ใหม่เพิ่มในช่วง 1 ปี หลังเข้าโครงการ เพราะลูกหนี้คิดว่าเป็นการตัดโอกาส
เหนือสิ่งอื่นใด!! แม้แบงก์จะ “ลดดอกเบี้ย” หรือ “ยกดอกเบี้ย” ให้ในช่วง 3 ปีแรก แต่เอาเข้าจริง ทุกวันนี้ “ลูกหนี้” ไม่รู้จะ “หาเงินจากไหน” มาใช้หนี้ นี่สิ!! เป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า ก็เลยยอมที่จะให้เป็น “หนี้เสีย” ต่อไป
ที่น่าห่วงอีกเรื่องก็คือ การเข้าร่วมโครงการด้วยความไม่รู้ในรายละเอียด ทำให้บรรดา “ลูกหนี้ดี” จำนวนไม่น้อย ที่เข้าร่วมลงทะเบียนไปด้วย
สารพันปัญหาเหล่านี้ ถึงเวลาที่ทั้งภาครัฐ ทั้ง “กระทรวงการคลัง-แบงก์ชาติ-สถาบันการเงิน” ต้องช่วยกันร้องแรกแหกกระเชอ ให้มากกว่านี้หรือไม่?
………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo