สภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดูแล้วไม่สดใส นับวัน ดัชนีหุ้นไทย มีแต่ สาละวันเตี้ยลง เตี้ยลง จากสารพัดปัจจัยลบที่เข้ามากดดัน ทั้งจากต่างประเทศ ทั้งจากในประเทศ
หากนับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาโดยตลอด โดยเฉพาะการ “โกงหุ้น” จาก “บรรดาผู้บริหารที่ไร้จริยธรรม” ตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จนส่งผลต่อ “บรรดาแมลงเม่ารายเล็ก-รายน้อย” ที่ต้องเจ็บตัวกันเป็นแถว
แม้ในความเป็นจริง บรรดานักลงทุนรายใหญ่น่าจะเจ็บตัวกว่า เพราะเงินลงทุนมีจำนวนมากกว่า แต่เอาเข้าจริง รายใหญ่ต่างมีช่องทางที่จะผันความเจ็บปวดให้น้อยลงได้อยู่แล้ว
แต่!! บรรดาแมลงเม่าตัวเล็กตัวน้อย ที่บินเข้ากองไฟนี่สิ!! เดิมคิดว่าจะได้ความอบอุ่น แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นกองเพลิงที่ลุกโชนไปเสียฉิบ…
สารพัดวิธีที่รัฐบาลได้พยายามผลักดัน ถึงขนาดที่ดึงอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ก็สวมบทบาทเป็นพ่อของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เข้ามากระชากภาวะตลาดหุ้น

สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาด รุ่งขึ้นหุ้นก็ตกเหมือนเดิม แม้ในวันถัดมา บรรดาผู้จัดการกองทุนจะเข้าไปช่วยกันประคับประคองให้ตลาดปิดบวกได้ก็ตาม
จนแล้ว…จนรอด…จนถึงเวลานี้หุ้นไทย ก็ 3 วันดี 4 วันไข้ สุดท้ายก็ยังไม่ไปถึงไหน แถมดัชนีหุ้นไทยยังต่ำเตี้ยเรี่ยราด หลุด 1,300 จุดไปแล้ว
แถม!! มาร์เก็ตแคป หรือ มูลค่าตามราคาตลาดหุ้นไทย ยังหายไป 1.6 ล้านล้านบาททีเดียว โดยนักวิเคราะห์จากบล.เอเซียพลัส เอง ยังออกมาระบุว่า หุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาลดลงอย่างหนักถึง 9.87%
ที่สำคัญ…เหนือสิ่งอื่นใด การลดลงของตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ กลับกลายเป็นว่า เป็นการลดลงที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกกันทีเดียว แถมสวนทางภาพรวมตลาดหุ้นโลกที่ทยานขึ้น 4% อีกต่างหาก
มูลค่าซื้อขายหุ้นในแต่ละวัน ก็ลดน้อยถอยลงไปเช่นเดียวกัน จากปีที่แล้ว ที่เคยซื้อขายเฉลี่ยกันวันละ 50,700 ล้านบาท แต่จนถึงทุกวันนี้เฉลี่ยการซื้อขายเพียงวันละ 39,000 ล้านบาท
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแหวกแนว ที่พอเกิดข่าวใหญ่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามากดดัน หุ้นไทยก็จะลงลึกไปกว่าปกติทุกที
ขณะที่ปัจจัยในเรื่องของ แรงขายกองทุนรวมระยะยาว หรือ “แอลทีเอฟ” กว่า 1.88 แสนล้านบาท ที่ครบกำหนดอายุไปหมดแล้ว ซึ่งบรรดานักลงทุนเตรียมขายออกมา ก็เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดไม่น้อยเช่นกัน
แม้ล่าสุด “มือเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลอย่าง…“พิชัย ชุณหวชิร” จะพยายามฟื้นฟูแอลทีเอฟ กลับมา โดยอาจให้นำมาหักภาษีหรือมีอายุได้นาน 5 ปี เพื่อเป็นการชิมลางความต้องการของนักลงทุน
อย่างที่รู้กัน ความไม่ชัดเจนที่ชัดเจนอยู่ในเวลานี้ จึงไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้!!

เมื่อประกอบเข้ากับสถานการณ์หุ้นไทยที่เวลานี้ ราคาค่อนข้างถูก ด้วยเพราะอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิของตลาดอยู่แค่ 13.5 เท่า ต่างจากอดีตที่อยู่ประมาณ 15-16 เท่า
ขณะเดียวกันหากหัก “หุ้นเดลต้า” (DELTA) ที่เวลานี้เป็นหุ้นตัวเดียวของตลาดหุ้นไทยที่มีมาร์เก็ตแคป เกิน 10% หากราคาปรับขึ้น หรือราคาลดลงก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยทันที
ดังนั้น!! เมื่อหัก “หุ้นเดลต้า” ออกไป ค่าพีอีของตลาดหุ้นไทยก็จะเหลือเพียงแค่ 12.5 เท่า…เท่านั้น ทำให้มูลค่าหุ้นไทย ยิ่งถูกลงไปอีก
ด้วยเหตุนี้…ความพยายามของ “ขุนคลังพิชัย” จึงเกิดขึ้นในหลายแนวทาง อย่างล่าสุด ก็กำลังทบทวน เพื่อผ่อนปรนกฎเกณฑ์เรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีเงินได้จากต่างประเทศแล้วนำกลับมาในไทย
ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนนำเงินลงทุนในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศเพิ่ม!!

เพราะอย่าลืมว่า เวลานี้ การลงทุนในประเทศนับวันยิ่งน้อยลง ขณะที่เงินที่นำไปลงทุนในต่างประเทศก็เริ่มมีเพิ่มมากขึ้นจากการกระจายความเสี่ยง แต่เงินลงทุนที่นำกลับเข้ามาต่างมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ เงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ เมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศ ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับรัฐบาลด้วย จึงเป็นอีกเรื่องที่กระทรวงการคลัง ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีเช่นกัน
เอาเป็นว่า!! ณ เวลานี้ ความพยายามของรัฐบาลมีไม่น้อย ที่จะทำให้ตลาดทุน ตลาดหุ้นไทยนั้น “นิ่ง” แต่จากสภาพภายนอกประเทศเอง แถมเขย่าด้วยปัจจัยในประเทศเข้าด้วย
สุดท้าย…ความพยายามนั้น จะทัดทาน จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน จนทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาแข็งแกร่งจนถึงดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกได้อีกแค่ไหน?
………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo