ต้องยอมรับว่า การประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทำเอาหลายคน…เกิดอาการ “สะพรึง” !!กันทันที
เพราะ…การส่งสัญญาณของนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้!! จะหมายถึงเพียงแค่… “แผนการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้ว” ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ “ททท.” และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้ ใช่หรือไม่
อย่าลืมว่า ณ เวลานี้ ทั่วโลกยังผวาโควิดสายพันธุ์ใหม่ ทั้ง “แลมบ์ด้า” ที่องค์การอนามันโลก กำลังให้ความสนใจ หรือสายพันธุ์ “เดลต้า” ที่กระจายไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลกแล้วในเวลานี้
ขณะที่สารพันปัญหาเรื่องการฉีด “วัคซีน” ต้านไวรัสโควิด 19 ยังไม่จางหาย ต่อให้มีการรีเซ็ต ปรับกระบวนการบริหารจัดการใหม่ แต่ก็มีประชาชนตาดำ ๆ อีกครึ่งค่อนประเทศ ยังไม่ได้ปักเข็มฉีดยาเข็มแรกด้วยซ้ำไป
ว่ากันที่จริงแล้ว!! เรื่องของการเปิดประเทศ!! ในเวลานี้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะหากยังปล่อยให้เป็นไปแบบนี้เรื่อย ๆ โดยไม่มีอนาคต รับรองได้ เศรษฐกิจ “เจ๊ง” โงหัวไม่ขึ้นแน่นอน
ปัญหาใหญ่ที่หลายคนหวั่นวิตก คือเรื่องของ “การบริหารจัดการ” ต่อให้ ณ เวลานี้ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ที่เป็นต้นกำเนิดของการเปิดประเทศ ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ จะมีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนกว่า 70% ไปแล้วก็ตาม
แต่… การบริหารจัดการของภาครัฐ จะสร้างความมั่นใจให้คนไทย ได้อย่างไรว่า จะไม่มีการระบาดรอบที่ 4 เกิดขึ้นอีก!! อย่าลืมว่า “ความวัวยังไม่ทันหาย” อาจมี “ความควายเข้ามาแทรก” ในไม่ช้าก็เป็นไปได้
แม้ว่าคนไทย ขึ้นชื่อในเรื่องที่ว่า “ลืมง่าย” ก็อย่าลืมว่าเรื่องของการระบาดหนักในรอบนี้เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ต้นตอของการแพร่เชื้อ ก็ “หายวับ” เข้ากลีบเมฆไปด้วยซ้ำ
ในเชิงของสังคมแล้วการประกาศเปิดประเทศใน 120 วัน ครั้งนี้ มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย คงคาดเดากันได้ดี “ภาคเอกชน” ย่อมเห็นด้วยแน่นอน เพราะนโยบายนี้ ทำให้เห็น “เงินรายได้” ที่กำลังจะเข้ามาเป็นจำนวนไม่น้อย
ขณะที่ฟากของฝ่ายวิชาการ โดยเฉพาะในมุมของ “แพทย์” เห็นแต่ตัวเลขของ “ผู้ติดเชื้อ” ตัวเลขของ “ผู้เสียชีวิต” ลอยอยู่ข้างหน้า เพราะทุกวันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่ได้ลดลงเลยด้วยซ้ำ แต่ละวันยังอยู่หลัก 2 พัน 3 พันคน ขณะที่ผู้เสียชีวิต ก็มีเกิดขึ้นทุกวัน
ต่อให้นายกฯบิ๊กตู่ “การันตี” ว่าทำงานอย่างใกล้ชิด กับผู้ผลิตวัคซีน ทั้ง 6 ราย แถมยังลงนามสังซื้อไปแล้วอีก 105.5 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งมอบให้ไทยภายในปีนี้ก็ตาม
อย่างที่บอก ปัญหาใหญ่อยู่ที่ “การบริหารจัดการ” เพราะเรี่องนี้มี “บทเรียน” ให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า ประชาชนคนไทย “สับสน” เพียงใด กับเรื่องการฉีดวัคซีน
รายละเอียด ความชัดเจน หลังจากนายกฯ โปรยนโยบายมาแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องรอดูว่าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ จะว่าอย่างไร?
อย่าว่าแต่เรื่องของการ “เปิดประเทศ” แค่เรื่องของ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ก็ยังไม่ผ่านความเห็นชอบของศบศ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เงื่อนไข” การเปิดรับนักท่องเที่ยว
โดยเฉพาะการ “กักตัว” ในพื้นที่เป็นเวลา 14 วัน ที่จากแผนเดิมพูดกันไว้ที่ 7 วัน ก่อนเดินทางไปจังหวัดอื่นได้ต่อไป ที่เงื่อนไขนี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวต้องชั่งใจว่า “คุ้มหรือไม่คุ้ม” เพราะอาจทำให้นักท่องเที่ยวตัดสนใจยกเลิกการเดินทางถึง 50% เลยก็ว่าได้
เช่นเดียวกับเงื่อนไขของการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ที่มีเงื่อนไขว่า…ผู้ที่มีผลการตรวจหาเชื้อจากประเทศต้นทางเป็นลบ เมื่อมาถึงจังหวัดภูเก็ตเพื่อท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อหรือสวอปถึง 3 ครั้ง ในคืนแรกที่เดินทางมาถึง คืนที่ 6 และคืนที่ 12 ด้วย เพื่อความสบายใจของคนไทยทั้งประเทศ
ขณะเดียวกันผู้ที่เดินทางเข้ามาต้องได้รับวัคซีนครบโดส ตามแต่ละยี่ห้อกำหนดอย่างน้อย 14 วัน ก่อนการเดินทางแต่ไม่เกิน 1 ปี
นักท่องเที่ยวจากอเมริกา ได้ยืนยันแล้วว่าจะเดินทางมาถึงไทย ในวันที่ 9 ก.ค นี้ จำนวน 20 คน จากนั้นปลายเดือนจะมีทหารเรือจากอังกฤษ ที่มาซ้อมรบในภูมิภาค เดนทางแวะพักภูเก็ต 1 สัปดาห์ อีก 400-500 คน
ณ เวลานี้ เชื่อได้ว่า หลายคนหลายฝ่ายอยากจะกู่ร้องเสียงดัง ๆ ให้รัฐบาล และนายกฯบิ๊กตู่ รอดูผลลัพธ์ ของ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ให้ดีก่อนหรือไม่? ก่อนเขย่งก้าวกระโดดไปไกล เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิด “ความเสี่ยง” ยังคงมีอยู่ !!
…………………………………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo