หายใจหายคอ…โล่งไปอีก 3 เดือน กับ การยืดเวลาการเก็บภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้า ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำเอาโลกที่กำลังอึมครึม ก็เกิดแสงสว่างเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ดิ่งนรกติดต่อกันมานานนับสัปดาห์ พลิกตัวกลับมาเป็นบวกสาดสีเขียวสดใสเป็นแถว เช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นไทย ที่หนักหนาสาหัส ตั้งแต่ปลายปี 67 ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 10 เม.ย.68 ที่ลดลงไปมากถึง 266 จุด ก็เริ่มทะยานเห็นความสดใส เพราะตลาดปิดบวกที่ 45.77 จุด ซึ่งเป็นการปิดบวกต่อเนื่อง 2 วันติด
อย่างที่บอก!!เมื่อมีเวลาหายใจเพิ่มอีก 3 เดือน เท่ากับว่า แผนการณ์ทั้งหลายแหล่ ต้องคิด ต้องประมวล ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าจะรับมือ “ทรัมป์” อย่างไร เพื่อไม่ให้ “คนในชาติ” ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ
แถมยังโชคเข้าข้างอีกหน่อย เพราะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวตั้งแต่ 12 เม.ย. ไปจนถึง 15 เม.ย.68 จะเปิดทำการอีกทีก็วันที่ 16 เม.ย.นี้
ก็ต้องมารอดูกันว่า เปิดทำการมา ตลาดหุ้นไทยจะยังตอบรับการเลื่อนเวลาขึ้นภาษีของ “ทรัมป์” ได้อีกมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันมาตรการชั่วคราว ที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นที่ออกมาก่อนหน้านี้ ก็หมดอายุวันที่ 11 เม.ย.นี้ ไปด้วยเช่นกัน

“พิชัย ชุนณหวิชร” รองนายกฯและรมว.คลัง ยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีต่อแน่ๆ ทั้งการปรับ ซีลลิง/ฟลอร์ โดยลดลงครึ่งหนึ่ง เช่น หุ้นสามัญ จากบวกลบ 30% เหลือบวกลบ 5% โดยให้กลับไปอยู่ที่ 30% เช่นเดิม
หรือ…การปรับกรอบราคา ไดนามิค ไพรซ์ แบนด์ จากบวกลบ 10% เหลือบวกลบ 5% จากราคาซื้อขายล่าสุด โดยให้กลับไปอยู่ที่บวกลบ 10%
หรือ…การห้ามการขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการชั่วคราวยกเว้น มาร์เก็ต เมเกอร์ โดยให้กลับไปขายชอร์ตเซลได้ใน เซ็ท 100 เท่านั้น
เพราะ…เห็นแล้วว่า สถานการณ์จะคลี่คลาย!!
ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า จะมีปัจจัยลบอื่นเข้ามากดดันอีกหรือไม่ ซึ่ง ณ เวลานี้ คงไม่มีคาดเดาสถานการณ์ชัดๆ ได้ อย่างที่รู้กัน นโยบายของ “ทรัมป์” ก็เหมือน “ลูกปิงปอง” วิ่งไป วิ่งมา และไม่มีความแน่นอน ชักเข้า-ชักออก เดี๋ยวทำ-เดี๋ยวชะลอไปก่อน
แต่ในเมื่อโอกาส เปิดให้แล้ว “ผู้บริหารประเทศ” ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะยังไม่ทันไร บรรดาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ก็ก่อตัว ก่อม็อบ คัดค้านข้อต่อรองโดยการนำเข้าเนื้อหมู และเครื่องในหมู เพราะส่งผลให้เกษตรกรในประเทศเดือดร้อน
อย่างที่รู้กันนโยบาย รู้เขา รู้เรา เร็ว และแม่นยำ ก็ต้องทำให้ได้ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็ต้องใช้ระยะเวลาตรงนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
แม้ว่านโยบายทั้ง 5 ข้อ ของรัฐบาลที่ออกมา จะได้รับการยอมรับจากภาคเอกชนอยู่แล้ว เพราะเป็นการร่วมกันคิด ร่วมกันกำหนดท่าที ก็ตาม แต่ก็ต้องมองโจทย์ที่เปลี่ยนไปให้ทะลุด้วยเช่นกัน
อะไร?ยอมได้ อะไร?ยอมไม่ได้ ตรงนี้ต้องชั่งน้ำหนัก เพราะถ้าแม่นยำ รอบคอบ ทำให้ดี ก็อาจได้ประโยชน์ มากกว่าเสียประโยชน์ด้วยซ้ำ!!

แม้ท่าทีของไทยและอาเซียนจะชัดเจนในขณะนี้ ว่าไม่ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี เหมือนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังทำอยู่ในเวลานี้ แต่เน้นการเจรจาแบบสร้างสรรค์ โดยชาติอาเซียนได้ตั้งทีมร่วมเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
แต่ในการเจรจา!! ก็จะใช้วิธีต่างคนต่างเจรจา เพราะในรายละเอียดนั้นแตกต่างกันมาก ทั้งเรื่องของประเภทสินค้า หรืออัตราภาษีของแต่ละสินค้า ดังนั้นต่างคนต่างเจรจาจะเป็นเรื่องง่ายกว่า และรวดเร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม…เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ท่าทีของประเทศไทย ก็จำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นประโยชน์ แม้ไม่ใช่ว่าประโยชน์จะตกอยู่ที่ไทยแต่ฝ่ายเดียวก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ต้อง “วิน-วิน” ทั้ง 2 ฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ การเรียกประชุม ของหัวหน้าทีมเจรจาอย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” จึงกำหนดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 11 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาแผนการรับมือให้รอบคอบอีกครั้ง ก่อนจะยก “ทีมไทยแลนด์” ไปเจรจากับสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า (ตามกำหนดการเดิม)
ต้องยอมรับว่า…แผนทุบโลก ของ “ทรัมป์” เพื่อรักษาประโยชน์ของตัวเองนั้น ถ้าถามว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ในเมื่อขึ้นมาเป็น “ผู้นำประเทศ” ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศตัวเองให้ได้มากที่สุด
เฉกเช่นเดียวกัน!! ที่ผู้นำของไทย ก็ต้องคิดเฉกเช่นเดียวกับประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นอันดับแรก หรือ “ไทย…เฟิร์ส” (Thai First) เช่นเดียวกัน
………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo