เทศกาลแห่งความสุข!! ความสนุก!! จบไปแล้ว…“ประเทศไทย” กลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ ที่ต้องเผชิญแรงกดดันสารพัด เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้
โดยเวลานี้ ต้องยอมรับว่า “สังคมไทย” ยังอยู่กับเรื่องราวๆ ใหญ่ไม่กี่เรื่อง แต่เรื่องใหญ่ที่ว่า ก็มีผลต่อสังคมไทยเยอะมาก ทั้งเรื่องของ ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม เรื่องของ การหารือเพื่อเตรียมตัวไปเจรจากับสหรัฐฯ กรณีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีไทย 36%
รวมไปถึง…เรื่อง สถานการณ์การเมือง ที่ทั้งขย่ม ทั้งเขย่า ให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จนล่าสุด สารพัดโผครม. ที่ต้องถูกเปลี่ยนตัว ถูกปรับออก มีออกมาให้เห็นในแทบทุกสื่อ ส่วนของจริง!! จะเป็นใคร ก็ต้องติดตามรอดูกันต่อไป
ข่าวใหญ่ๆ เหล่านี้ ปฎิเสธไม่ได้ว่า ผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยแน่ๆ แม้เวลานี้ “ผลแห่งเหตุ” ยังส่งตรงมาไม่ถึงตัวก็ตาม
แต่! ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ทุกเรื่องราวย่อมมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตคนไทยแน่นอน โดยเฉพาะกรณีของตึกสตง.ถล่ม ที่แสดงให้เห็นถึง “การไม่สุจริต” ในแวดวงราชการ
ต่อให้ ณ เวลานี้ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าสุดท้ายแล้ว ใครเป็นคนผิด? ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ? คนว่าจ้าง ผู้รับเหมา หรือวิศวกร ผู้ควบคุมงาน หรือเป็นใคร? กันแน่!!
บรรดา “กูรูด้านวิศวกรรม” ได้ออกมาถ่ายทอดความรู้ผ่านโลกโซเชียล เพื่อชี้ให้เห็นถึง “ความน่าจะเป็น” ถึงสาเหตุที่แท้จริง ที่ตึกสตง.ถล่ม หลังหลายฝักหลายฝ่ายกำลังเทไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจไปหาที่ “ปลายเหตุ” มากกว่า “สาเหตุ”
ทั้งหมด…คงต้องรอฟังผล หรือรอฟังคำตอบ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอย่างเป็นทางการที่ถูกต้องเสียก่อน!
แต่ที่แน่ๆ ในเรื่องของ “ความไม่สุจริต” ย่อมเกิดเป็น “คำถามในใจของคนไทยทุกคน” เพราะอย่าลืมว่า “สตง.” คือ หน่วยงานตรวจสอบงบการเงินของส่วนราชการทั่วประเทศ ซึ่งกำลังถูกสังคมตั้งคำถาม
เพราะทุกวันนี้คนไทย 98% เชื่อไปแล้วว่า สาเหตุของตึกสตง.ถล่ม ครั้งนี้ มาจากการ “คอร์รัปชัน” ซึ่งเป็นผลมาจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เมื่อช่วงก่อนสงกรานต์
สาเหตุใหญ่ มาจากความเชื่อที่ว่า วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน และ กำหนดแบบก่อสร้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้มีอำนาจ เช่น ต้องการเงินทอน ที่ใครๆ ก็รู้อยู่เต็มอก หรือเคยชินกับคำว่า “เงินทอน 30%”
ข้อเสนอของประชาชนที่ตอบแบบสอบถามมานั้น ได้เรียกร้องให้มีการ “ลงโทษผู้อยู่เบื้องหลัง” อย่างจริงจัง “ไม่ใช่จับแค่แพะ” พร้อมเสนอให้ “แบล็กลิสต์บริษัทที่เกี่ยวข้องห้ามรับงาน”
จากผลสำรวจนี้…สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนคนไทย ว่า “เอือม” กับ “การไม่สุจริต”–“เอือม” กับ “การแสวงหาผลประโยชน์” ของ “ผู้มีอำนาจ” ความไม่ไว้ใจต่อกระบวนการภาครัฐ
ที่สำคัญ!! ยังต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
โดยเฉพาะในเรื่องของ “เงินทอน” มีการระบุตัวเลขจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่เคยระบุข้อมูลไว้ว่า ในแต่ละปีจะมี “เงินทอน” ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมากถึง 2-3 แสนล้านบาททีเดียว
เงินจำนวนนี้ มาจากโครงการการก่อสร้างภาครัฐที่ในแต่ละปีจะมีงบประมาณการก่อสร้างภาครัฐมากถึง 7.8 แสนล้านบาท ดังนั้น เงินทอน 30% ก็จะอยู่ในระดับ 2-3 แสนล้านบาท
คิดดูว่า…เงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ที่หดหายออกไปจากระบบ จะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย กับประชาชนคนไทย อย่างน้อยเงินงบประมาณที่ต้องเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ก็ลงไปไม่ถึง เพราะหายไปแล้ว 30%
โอกาสต่างๆ ที่ประเทศชาติควรจะได้ ควรจะได้รับการพัฒนา ก็ไม่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่า…การใช้จ่ายภาครัฐกลับเพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันดัชนีการรับรู้การทุจริตของไทย ตลอด 20 ปี ก็มีคะแนนอยู่ในช่วง 32-38 คะแนน โดยล่าสุดในปี 2567 อยู่ที่ 34 คะแนน หรืออยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก
อันดับดังกล่าว แสดงให้เห็นได้ชัดว่า มีระดับการคอร์รัปชันที่สูง และยังอยู่ในสภาวะมี่ย่ำอยู่กับที่ ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ได้ประเมินไว้ว่า…ประเทศไทยได้สูญเสียเงินจากการคอร์รัปชันในแต่ละรูปแบบ รวมกันแล้วไม่น้อยกว่าปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของงบประมาณประเทศ
เห็นตัวเลขเช่นนี้แล้ว ได้แต่หวังว่า “ผู้ที่มีหน้าที่” ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ทำให้ “การไม่สุจริต” ลดน้อยถอยลงไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะ…ไม่เช่นนั้น “ประเทศไทย” คงย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถต่อสู้ หรือไปสู้รบปรบมือได้แข็งแกร่งทัดเทียมชาติอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้!!
………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
