ประเทศไทยยามนี้ ยังตกอยู่ในภาวะ “วุ่นวาย” ในสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องของวัคซีน ว่าจะเอาสูตรไหนดี ทั้งที่เข็มแรกยังปักไม่ถ้วนหน้า เข็มบูทเตอร์ ก็กลายเป็นคำถามในสังคมขึ้นอีก
ภาพประชาชนทั่วประเทศต่อแถวรอคิวตรวจโควิด ภาพประชาชนต่อแถวรอคิวจองวัคซีนทางเลือก หรือแม้แต่การจองทางออนไลน์ที่เปิดมาเมื่อไหร่ ก็เต็มทันที ก็ยังมีอยู่ให้เห็นกันทุกวัน
พอรัฐบาลเปิดให้ซื้อชุดตรวจโควิดเอง ข่าวคราวการโก่งราคา การกักตุน ก็บังเกิดขึ้นอีก ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต ก็ทำนิวไฮกันทุกวัน ภาพข่าวของผู้ป่วยติดเชื้อนอนเสียชีวิต คาที่ที่พักอาศัย ยังไม่ลดน้อยถอยลงไป แถมยังลามไปถึงเตาเผาศพไม่พอ ห้องเย็นเก็บศพทะลัก
เห็นภาพเช่นนี้แล้ว!! เชื่อเถอะ ต่อให้ “ใคร” เข้ามารับผิดชอบ ก็หนักหนาสาหัสไม่น้อย จะให้โชว์พราวด์ โชว์วิสัยทัศน์ว่าจะทำอย่างโน้น จะทำอย่างนี้เพื่อให้คนไทยรอด!! ก็เป็นเพียงแค่ “คำพูด” แต่เอาเข้าจริงไม่ได้อยู่หน้างาน ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะพูดให้น่าเชื่อถืออย่างไรก็ไม่แปลก!!
ภาพเหล่านี้…เป็นเพียงส่วนหนึ่ง!! ที่คนไทยทั้งประเทศต่างหาทางที่จะหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ให้ถึงแก่ชีวิต !!
แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นอีกมากมายที่คนไทยยังต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลใช้วิธีล็อคดาวน์ และเคอร์ฟิว ใน 10 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด
ผลจากการใช้มาตรการของรัฐบาล ย่อมทำให้เกิดสารพัดผลเสียกับประชาชนคนไทยตาดำ ๆ ชาวบ้านชาวช่องที่บางคนเมื่อขาดงานก็ขาดเงิน แถมยังติดหนี้อีกมากมาย
การเยียวยาโดยให้ค่าแรงกับแรงงานตามมาตรา 33 ในอัตรา 50% ของค่าจ้างแต่ไม่เกิน 7,500 บาท เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมคนละ 2,500 บาท 1 เดือน รวมแล้วไม่เกินคนละ 10,000 บาท ขณะที่คนที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และ 40 และมีสัญชาติไทย จะได้เงินช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท
ขณะที่บรรดาผู้ประกอบการหรือนายจ้าง จะได้เงินช่วยเหลือจำนวนลูกจ้างคนละ 3,000 บาท ไม่เกิน 200 คน เป็นเวลา 1 เดือน รวมไปถึงการลดค่าไฟค่าน้ำให้อีก 2 เดือน
มาตรการเหล่านี้รวม ๆ แล้วก็ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 42,000 ล้านบาท เชื่อเถอะว่า เพียงแค่นี้ย่อมไม่เพียงพอต่อการเยียวยาคนที่เดือดร้อนแน่นอน อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงแค่เงินก้อนหนึ่ง เพื่อประทังชีวิตในช่วงล็อคดาวน์ ซึ่งก็ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะยาวนานแค่ไหน แม้เบื้องต้นคาดกันว่า 14 วันก็ตาม
แต่ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 6 วันหลังจากล็อคดาวน์ สถานการณ์ของผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต ก็ยังไม่ทุเลา นั่นก็หมายความว่าการล็อคดาวน์อาจยาวนานกว่า 14 วันก็เป็นไปได้ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามล่าสุด แบงก์ชาติ แบงก์รัฐ แบงก์ เอกชน ก็รวมตัวร่วมด้วยช่วยกัน โดยออกมาตรการพักหนี้ พักต้น พักดอก เป็นเวลา 2 เดือนให้กับทั้งลูกจ้าง นายจ้าง เจ้าของกิจการ ในพื้นที่ 10 จังหวัดเสี่ยงสูง ที่ได้รับผลกระทบ
โดยในงวดชำระเงินเดือนก.ค. และเดือนส.ค. นี้ บรรดานายจ้างลูกจ้าง ที่เดือดร้อน ก็ไม่ต้องจ่ายค่างวดการชำระหนี้ใด ๆ เรียกง่าย ๆ ก็ให้เวลาหายใจเพิ่มขึ้นอีก 2 เดือนนั่นแหล่ะ
แต่สิ่งสำคัญใครที่รู้ตัวเองว่าเดือดร้อนหนัก ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ไม่มีกำลังพอ หรืออาจจะพอมีแต่อยากเก็บเงินก้อนนี้ไว้ซื้อข้าวกินก่อน ก็ต้องรีบติดต่อไปยังธนาคารเจ้าหนี้ เริ่มตั้งแต่ 19 ก.ค.นี้เป็นต้นไป และต้องเตรียมเอกสารหลักฐานให้ชัดเจนด้วยว่าตัวเองเดือดร้อนอย่างไร
ขณะเดียวกันแบงก์ชาติเองกำชับไว้ชัดเจนว่า เมื่อหมดช่วง 2 เดือนนี้ไปแล้ว ใช่ว่าแบงก์จะเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างทันที เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าซ้ำเติมลูกหนี้เข้าไปอีก
แต่แนวทางที่แบงก์ควรทำคือขยายระยะเวลาออกไป 2 เดือน เช่นสัญญา 10 เดือน ก็กลายเป็น 12 เดือน ไม่ใช่ไปทบต้นทบดอกเพิ่มขึ้น เหมือนกับเจ้าหนี้นอกระบบ ที่ชอบขยี้ซ้ำลูกหนี้
ส่วนบรรดาลูกหนี้ที่ยังพอทำมาหากินอยู่ได้ แต่อาจมีรายได้ลดลง โดยอยู่นอกพื้นที่ควบคุม 10 จังหวัด ก็ยังมีความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน อยู่แล้ว ในรูปแบบของการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ความช่วยเหลือของลูกหนี้แต่ละราย ก็ย่อมขึ้นอยู่กับผลกระทบรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
อย่าลืมว่า การ “พักหนี้” คือการต่อลมหายใจเท่านั้น ไม่ใช่ การ “ยกหนี้” ที่จะทำให้หมดหนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ ใครจ่ายหนี้ได้ ก็ควรจ่ายต่อไป เพื่อไม่ให้หนีพอกขึ้นจนกลายเป็นไม่มีความสามารถในการจ่าย
เพราะเมื่อถึงจุดนั้นอาจทำให้เรา “หมดลมหายใจ” ก็เป็นไปได้!!!
……………………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo