“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยืนยันหนักแน่น ชัดเจน กับการเดินหน้าสู่การ “เปิดประเทศภายใน 120 วัน” ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ประเทศไทยยังก้าวเดินต่อไปได้ แม้ต้องยักแย่…ยักยัน…กับการเผชิญหน้ากับไวรัสโควิด-19
ขณะเดียวกัน…วงการแพทย์ ก็ยังคงออกมาเตือนอย่างสม่ำเสมอกับช่วง “พีค” ของการแพร่ระบาดที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่าเพิ่งไว้วางใจ ดังนั้นสิ่งที่ต้องระมัดระวังดูแลตัวเองมาตรการของกรมควบคุมโรค D-M-H-T-T-A ยังต้องเข้มข้นอย่างสูงสุด การ์ดต้องไม่ตก!!!
ไม่เพียงเท่านี้!!! กระแสข่าวไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่ “มิว” ก็เริ่มปรากฏกาย ออกมาให้เห็นกันบ้างแล้ว ต่อให้ทุกฝ่ายต่างออกมาย้ำนักย้ำหนา ว่าต้องไม่มีเข้าไทย!!! แต่สุดท้ายใครจะรับประกันได้ ว่า “ไม่มี”
ดูอย่าง “เดลต้า” สิ เริ่มจากคนอินเดียมาไทย คนเดียว ในช่วงแรก ก็จะเป็นจะตายกันให้ได้ สุดท้ายไปแตกทะลักที่แคมป์คนงานแถมหลักสี่ จนระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของไทยในทุกวันนี้
เอาเป็นว่า…ชีวิตคนก็ต้องดูแล ปากท้องคนก็ต้องดูแล ในเมื่ออาสาเข้ามาบริหารประเทศ ก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการบริหาร “การเมือง” ให้เข้าที่ ไม่กลายมาเป็น “อุปสรรคใหญ่” แล้วบานปลายทำลายเศรษฐกิจไทยให้ดิ่งเหวลงไปอีก
จะอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อประกาศชัดเจนว่าต้องเดินหน้าเปิดระเทศ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับประเทศ ก่อเกิดประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องเดินหน้าต่อไป หลังจากมีสัญญาณที่ดีจากโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” มาแล้ว
เพราะ…ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการ 1ก.ค.เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 27,609 คน โดยเดินทางกลับออกไปแล้ว 10,355 คน คงเหลือ 17,254 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ และคงเหลือในจังหวัดภูเก็ต 4,762 คน
ขณะที่ “ธนกร วังบุญคงชนะ” โฆษกรัฐบาล ออกมา ชูความสำเร็จของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ที่ดำเนินการมาแล้ว 2 เดือน ถือว่าได้ผลน่าพอใจ เพราะสามารถสร้างรายได้สะสมรวม 1,634 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวมีรายจ่ายต่อทริปประมาณ 60,000-70,000 บาท ทำให้ประชาชนในพื้นที่กลับมาฟื้นตัวสร้างรายได้
ส่วนการเปิดประเทศระยะที่ 2 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป ได้เตรียมเปิดพื้นที่เพิ่มอีก 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเชียงใหม่ ที่เรียกว่า เป็นการดำเนินการตามมาตรการใหม่ ภายใต้การป้องกันตนเองแบบ Universal Prevention หรือการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล คือทุกคนต้องอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้
ในเมื่อนายกฯบิ๊กตู่ประกาศ เดินหน้าเปิดประเทศต่อ บรรดาภาคธุรกิจ จังหวัด ทั้ง 5 จังหวัดตามสเต็ปที่ 2 ก็จัดเตรียมสารพัด โดยเฉพาะการเร่งฉีดวัคซีนให้กับคนในพื้นที่ การจัดแคมเปญต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่าง กรุงเทพฯแซนด์บ็อกซ์ หัวหิน รีชาร์จ ชาร์มิง เชียงใหม่ เป็นต้น
แต่ในพื้นที่ของหัวหิน ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท. ลงไปปูพรม ไปโปรโมท ล่าสุด ก็มีข่าวออกมาว่าพนักงานของโรงแรมดังในพื้นที่ 15 คนต่างติดโควิด เข้าให้อีก ทั้งที่เป็นโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานฐาน SHA PLUS พลัสไปแล้วก็ตาม
แม้ว่าพื้นที่หัวหิน จะเป็นพื้นที่ปิด ที่เชื่อว่าจะควบคุมได้ไม่ยาก แต่ยังมีปัญหาตามมา คือ บรรดาโรงแรมและร้านอาหารในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน SHA และ SHA PLUS เพียงแค่ 30% เท่านั้น จากจำนวนโรงแรมและร้านอาหารประมาณ 300 แห่ง
นี่…จึงเป็นอีกหนึ่งปัญหา!! ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม่แต่ตัวผู้ประกอบการเอง ต้องตระหนักให้มาก และต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผนการเปิดประเทศเดินไปให้ถึงฝั่งฝัน
อย่างไรก็ตามในสเต็ปที่ 3 ของการเปิดประเทศ จะเริ่มในวันที่ 15 ต.ค.64 เป็นต้นไป ที่เตรียมเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวอีก 21 จังหวัดครอบคลุมทั้งประเทศ ภาคเหนือ ลำพูน แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน เชียงราย สุโขทัย ภาคอีสาน อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี ภาคตะวันตก ประกอบด้วย กาญจนบุรี ราชบุรี ภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี ตราด ภาคกลาง อยุธยา ภาคใต้ นครศรีธรรมราช ระนอง ตรัง สตูล สงขลา
จากนั้นจะเริ่มสเต็ปที่ 4 คร่อมไปต้นปีหน้า โดยเปิดการท่องเที่ยวแบบ bubble กับประเทศเพื่อนบ้าน ตามพื้นที่ชายแดนกัมพูชา มี สุรินทร์ สระแก้ว เกาะกง ตราด ส่วนพม่า เปิดด่านที่แม่สอด ท่าขี่เหล็ก และเกาะสอง ส่วนทางภาคอีสานที่ติดต่อกับสปป.ลาว มี นครพนม หนองคาย มุกดาหาร ทางใต้มีชายแดนติดกับมาเลเซีย เบตง จ.ยะลา โกลก จ.นราธิวาส ด่านนอก ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา วังประจัน จ.สตูล โดยเปิด 1-15 ม.ค.65 แต่ประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องยอมรับแผนของไทยด้วยเช่นกัน
ทั้งหมด!!! ถือเป็นโรดแม็พ “เปิดประเทศ 120 วัน” ตามเป้าหมายของนายกฯบิ๊กตู่ ซึ่งจะไปถึงดวงดาวหรือไม่? ก็ต้องตามติดกันต่อไป ท่ามกลางตัวแปรสำคัญ ที่ต้องคุมการระบาดของโควิด ให้ได้!!!
………………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
