รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตัดสินใจยอมเฉือนเนื้อตัวเองอีกกว่า 17,000 ล้านบาท เพื่อลดภาษีน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อดูแลปัญหาราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้พุ่งทะลุเกินไปกว่าลิตรละ 30 บาท
ว่ากันว่า…เมื่อ “กรมสรรพสามิต” ร่างประกาศกระทรวงเพื่อลงในราชกิจจานุเบกษา แล้วเสร็จ ก็จะมีผลให้ลดภาษีทันทีได้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.นี้ เป็นต้นไป
แต่การลดภาษีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าปั๊มจะลดลงลิตรละ 3 บาท!! เท่ากับอัตราภาษีที่ลดลง
ด้วยเพราะ ณ เวลานี้ “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศนั้น กำลังเดี้ยง!! เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 65 มีฐานะติดลบไปแล้ว 18,151 ล้านบาท ขณะที่มีกระแสเงินสดเพียงแค่ 21,000 ล้านบาท
และไม่ใช่เพียงแค่นี้!! แต่ปรากฎว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเอง ก็กำลังพบเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ “สตง.” ยังไม่รับรอง “งบการเงิน” เพราะอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนสถานะจากนิติบุคคล สังกัดกระทรวงพลังงาน มาเป็นองค์การมหาชน
แม้ว่าครม.เองได้เปิดทางให้กองทุนฯสามารถกู้เงินได้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เพื่อมาบริหารสถานะของกองทุนก็ตาม แต่เมื่อสตง.ไม่รับรอง “งบการเงิน” ก็ไม่มีแบงก์ไหน? ใจกล้าให้เงินกู้
ยิ่งใกล้งวดที่เงินกำลังจะหมดหน้าตัก เงินใหม่ก็ยังกู้ไม่ได้ เพราะติดปัญหาเรื่องงบการเงิน การควานหาแหล่งเงินกู้จากพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็ทำไม่ได้ เพราะผิดวัตถุประสงค์ชัดเจน แถมเงินกู้ก้อนนี้ ยังคงเหลือวงเงินเพียงแค่ 97,000 ล้านบาท
หากต้องไปขอเงินจากงบประมาณ ในส่วนของ “งบกลาง” รายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่เป็นอำนาจโดยตรงของนายกรัฐมนตรี แต่วงเงินที่ต้องนำมาใช้มีมากถึงเดือนละ 30,000-40,000 ล้านบาท ขณะที่งบกลางฯ ก็มี “จำนวนจำกัด” เช่นกัน
เมื่อไม่มีทางออก!! สุดท้ายจากการยืนยันกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอดว่า การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จะเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น ก็ต้องหยิบยกขึ้นมาใช้
แต่การใช้เงินภาษีน้ำมันดีเซลเข้ามาดูแลครั้งนี้ ต้องพิจารณาช่วยเหลือควบคู่ไปกับการเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สามารถดูแลน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ได้ต่อเนื่องนานขึ้น
ดังนั้น!! จึงเป็นคำตอบที่เชื่อได้ว่า ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในวันที่ 18 ก.พ.นี้ จะไม่ได้ลดลงในอัตรา 3 บาท อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจกัน
ทั้งที่ “รายได้จากภาษี” ถือเป็น “กล่องดวงใจ” สำคัญของรัฐบาล ก็ตาม แต่เมื่อหมดหนทาง ก็ต้องกัดฟัน และยอมแบกรับภาระรายได้ที่หายไปอีก กว่า 17,000 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพาสามิตก็ต้องกัดฟัน เพื่อหารายได้เพิ่มขึ้นมาทดแทนส่วนที่ขาดไป
ปีงบประมาณ ปี 65 กรมสรรพสามิต หมายมั่นปั้นมือไว้ว่า จะเก็บภาษีได้ 5.97 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากภาษีน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน 2.25 แสนล้านบาท ขณะที่รายได้สุทธิของรัฐบาลทั้งหมดอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
ปัญหาอยู่ที่ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะทะยานไปสูงสุดที่เท่าใด? ก่อนหน้านี้ “โกลด์แมน แซกส์” คาดคาดการณ์ว่าปีนี้จะได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่บางสำนักเชื่อว่า อาจจะมากกว่า ด้วยซ้ำไป
แล้ววงเงินที่เตรียมไว้!! ไม่ว่าจะเป็นเงินภาษี หรือวงเงินกู้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเพียงพอต่อการดูแลราคาน้ำมันในรอบนี้ได้หรือไม่ ถ้าราคาน้ำมันยังทะยานขึ้นไปอีก แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?
อย่าลืมว่า แนวทางแก้ไขที่ออกมาครั้งนี้ เป็นการยืดเวลาให้ช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลในราคาไม่เกินลิตรละ 30 บาท ออกไปจนถึงเดือนพ.ค.นี้ จากเดิมที่จะดูแลได้ถึงเดือนแค่มี.ค.65 เท่านั้น
ที่สำคัญ!!ไม่ใช่เพียงแค่ราคาน้ำมันดีเซลเท่านั้น ยังมีเรื่องของการอุดหนุนราคาแก๊สหุงต้ม เพื่อให้อยู่ในราคาที่ถังละ 318 บาทสำหรับขนาด 15 ก.ก. จนถึงวันที่ 31 มี.ค.นี้
แม้เบื้องต้น แนวทางการดูแลจะทำผ่านบัตรคนจนก็ตาม ที่ให้การช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท ต่อ 3 เดือน จากที่เคยอุดหนุนอยู่ที่ 45 บาทต่อ 3 เดือน แต่ขณะนี้เรื่องการลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่ ยังไม่ได้เริ่มต้น ก็เท่ากับว่าช่วงรอยต่อจะทำอย่างไร หรือรัฐบาลยอมปล่อยราคาลอยตัว
แล้ววงเงินที่เตรียมไว้!! ไม่ว่าจะเป็นเงินภาษี หรือวงเงินกู้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเพียงพอต่อการดูแลราคาน้ำมันในรอบนี้ได้หรือไม่ ถ้าราคาน้ำมันยังทะยานขึ้นไปอีก แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?
……………………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
