วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSสงคราม“หมีขาว-ยูเครน” กระหน่ำเศรษฐกิจไทย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สงคราม“หมีขาว-ยูเครน” กระหน่ำเศรษฐกิจไทย

สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์” ได้คาดการณ์ เศรษฐกิจไทยในปี 65 จะเติบโตได้เฉลี่ยที่ 4% โดยเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการการคุมโควิด


รวมถึงการส่งออกที่ยังดีต่อเนื่อง การเบิกจ่ายภาครัฐที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงผลจากการเปิดประเทศ ก็มีภาคท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเติมเต็ม การบริโภคในประเทศ การลงทุนภาครัฐและเอกชนที่ดีขึ้น

การเติบโตที่ว่า…ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะไม่หนักหนาไปมากกว่านี้อีก จนมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น และไม่มีการกลายพันธุ์ของโรคเพิ่มมากขึ้น

แม้เรื่องของโควิด ถือเป็นปัญหาใหญ่ของทุกประเทศ แต่ต้องยอมรับว่า ทุกประเทศต่างปรับตัวรองรับเพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ให้ได้ เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่า โรคนี้จะหายไปเมื่อใดกันแน่!

ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย” และ “ยูเครน” กำลังกลายการเป็น “ระเบิด” ลูกใหญ่ของโลก ทับถมเข้ามาอีก นอกเหนือไปจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ

รัสเซีย vs ยูเครน / @knowatlas

นั่นหมายความว่า…ไฟสงครามครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบมาถึงคนไทยด้วยแน่นอน!!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “ราคาน้ำมัน” ที่เชื่อได้ว่าจะยิ่งทะยานเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะ “หมีขาวรัสเซีย” นั้นถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับที่ 2 ของโลก รองจากเจ้าตลาดอย่าง “ซาอุดิอาระเบีย”

ที่สำคัญ!! “หมีขาว” ยังเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ไปยังยุโรป

ก่อนหน้านี้ความตึงเครียดของความหวาดระแวงที่จะนำปสู่การเกิดสงครามรอบใหม่ ได้ส่งผลทันทีต่อ “ตลาดหุ้น-ตลาดเงิน” รวมไปถึง “เงินไฮเทค” ทั่วโลกที่ราคาดิ่งระนาว ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง “ทองคำ” ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ประเทศไทยยังโชคดี ตรงที่ “ค่าเงินบาท” ยังคงแข็งค่า ไม่ได้อ่อนยวบยาบอะไรมากนัก เพราะยังคงมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ราคาทองรุปพรรณ แม้มีแนวโน้มแพงขึ้น แต่ยังไม่ถึง 30,000 บาท ต่อ 1 บาททองคำ

แต่ที่เห็นได้ชัด ที่ส่งผลต่อประชาชนคนไทยในเวลานี้ คือ “ราคาน้ำมัน” เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ค่ายน้ำมันก็ปรับราคาขายปลีกหน้าปั๊มเพิ่มขึ้นโดยกลุ่มเบนซิน เพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 40 สตางค์ ขณะที่กลุ่มดีเซล เพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 60 สตางค์

ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ปรับลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซลไปลิตรละ 3 บาท เพื่อลดราคาหน้าปั๊มให้คนไทย ลิตรละ 2 บาท ส่วนอีก 1 บาท ก็โยกไปโปะให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่กำลังบักโกรกอย่างหนัก โดยล่าสุดติดลบไปแล้ว 20,164 ล้านบาท

อมรเทพ จาวะลา

“อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย มองว่า ปัญหานี้จะสร้างผลกระทบระยะสั้น ทั้งเรื่องเงินเฟ้อที่อาจทำให้ราคาน้ำมันอาจขึ้นไปที่ 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ที่สำคัญ!! หากปัญหานี้ยังคงยืดเยื้อ จะทำให้ในไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก แต่เชื่อว่าบรรดาประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือกลุ่มโอเปก น่าจะเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง

รณรงค์ พูลพิพัฒน์

ขณะที่ “รณรงค์ พูลพิพัฒน์” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ออกอาการเป็นห่วงว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะซ้ำเติมให้ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อสูงขึ้น ตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ด้าน “สภาธุรกิจไทย-รัสเซีย” เองก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ปัญหาจะบานปลาย หรือจำกัดวง เพราะไทยทำการค้ากับรัสเซีย ทั้งส่งออกและนำเข้า เป็นมูลค่าไม่น้อยในแต่ละปี

หากรัสเซียถูกนานาประเทศคว่ำบาตร ก็มีผลให้การทำธุรกรรมของนักธุรกิจไทยกับรัสเซีย ต้องมีขั้นตอนและต้นทุนทางการเงินเพิ่มมากขึ้น

ปัญหาของรัสเซียและยูเครนครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องจับตาให้ใกล้ชิดที่สุด เพราะอะไร? ลองคิดดูว่า ถ้าราคาน้ำมันยังพุ่งพรวดพราด ราคาสินค้าที่แพงอยู่แล้วจะยิ่งแพงขึ้นทวีคูณ แล้วก็ทุบซ้ำเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

“เงินเฟ้อ” ที่ก่อนหน้านี้สภาพัฒน์ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.5-2.5% ขณะที่ราคาน้ำมันคาดว่าจะอยู่ที่ 72-82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจไม่ใช่อย่างที่คาดการณ์ก็เป็นไปได้

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถาโถมมาที่ประชาชนคนไทยนั่นแหล่ะ เพราะเงินก็ไม่มี ไม่เพิ่ม แถมค่าใช้จ่ายก็พุ่ง สุดท้ายเสียงร้องระงม คงมีให้เห็น!!

……………………………………..

คอลัมน์ : EC Focus by Virgo

สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img