รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นอนาคตแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปในเร็ววันนี้แน่ๆ โดยหลายประเทศก็ต่างออกมาตรการมาสนับสนุน รวมถึง ไทย รองรับแนวทาง การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ EV เกิดได้เร็ว และก็เป็นเช่นนั้น
ไม่กี่ปียอดขายก็พุ่งขึ้นไม่หยุด ยอดขาย EV ทั่วโลกล่าสุดเพิ่มขึ้น 30.5% เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1.69 ล้านคัน ในประเทศจีนมียอดขายสูงสุด และตอนนี้ราคาก็ลดฮวบ กลายเป็นของจับต้องได้ ไม่ยากเท่าๆ กับรถยนต์สันดาป และหลายรุ่นก็มีราคาต่ำกว่าด้วย
Bloomberg คาดการณ์ว่า สัดส่วนยอดขาย EV จะเป็น 45% ของรถยนต์ส่วนบุคคลในปี 2573 และ 73% ในปี 2583
ก็น่าจะโตวันโตคืนด้วยการแข่งขันการผลิตของนักลงทุนจีน ที่ออกไปลงทุนโรงงานผลิตทั่วโลก แต่มาเจอกับเศรษฐกิจซบเซา แต่ละค่ายทำโปรโมชั่นถล่มราคากันเองทั่วโลก เพื่อปิดยอดขายให้เร็ว เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก เรียกว่า ตอนนี้เข็นยอดขาย การผลิตไปเร็วกว่าความต้องการ กลุ่มเป้าหมายน่าจะซื้อกันไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มที่มีรถหลายคัน ทั้งรถไฟฟ้า และรถยนต์สันดาปไว้ประจำการ กลุ่มเป้าหมายที่เหลือขอรออีกหน่อย เพราะโครงสร้างพื้นฐานอาจยังรองรับไม่พอ
สถานียานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้ น่าจะมียังไม่ถึง 3,000 แห่ง แต่มีรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 พ.ย.2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 635,692 คัน มีการคาดว่า จะมียอดจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งไฟฟ้า เฉลี่ยน่าจะปีละ 190,000 คัน การเติบโตเดินมาได้และไปได้ด้วย การอัดมาตรการสนับสนุนของภาครัฐเป็นหลัก
แต่สถานีชาร์จขยายไม่ทัน แม้จะชาร์จแบบ fast charge แต่ก็ยังช้ากว่าเมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาป กลุ่มผู้ใช้รถจำนวนมากไม่ถนัดกับความเสี่ยงของ EV ด้วยประการทั้งปวง บวกเศรษฐกิจไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้กำลังผลิตล้นตลาด
เฉพาะในไทย ผู้ผลิตจีนลงทุนไปแล้ว 5 ราย รวมมูลค่าลงทุนกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท กำลังผลิตรวมทะลุ 4 แสนคันต่อปีไม่นับรวมสัญชาติอื่น
อย่าง บริษัท หงไห่ พริซิชั่น อินดัสทรี จำกัด (Foxconn) จากไต้หวัน ที่มาจอยกับ ปตท. ภายใต้บริษัท JV ชื่อ บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) บริษัทย่อยของ ปตท.ถือหุ้น 60% และ บริษัท ลี่ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด (Lin Yin) บริษัทย่อยของหงไห่ ถือหุ้น 40% เพื่อสร้างโรงงานผลิต EV ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งซื้อที่ไว้เรียบร้อย มีตัวเลขลงทุน 36,100 ล้านบาท ตั้งเป้าผลิต 50,000 คันต่อปี เป้าหมายจะเริ่มดำเนินการพ.ย.2567 แต่โครงการนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะ ปตท.เล็งเห็นว่ากำลังผลิต EV ล้นตลาดเหนื่อยแน่ จึงขอกลับมาคุยปรับโครงสร้างการลงทุนกันใหม่ ให้ Foxconn นำไป-ปตท.ขอตั้งหลักทำขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าดีกว่า
หลายโครงการก็เลื่อน หรือไม่ก็พับโครงการผลิตรถ EV ไป อย่าง Tesla ผู้บุกเบิกตลาด ก็ประกาศชะลอแผนโรงงานในเม็กซิโก หลังจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดขายของ Tesla เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ เริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ อีกทั้งยังเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ทั้งในตลาดจีนและยุโรป ส่วน Ford และ General Motors ชะลอการผลิต, Toyota ก็เลื่อนเดินสายผลิต EV ในสหรัฐ, Mercedes-Benz ลดแผนการขายหลังจากปี 2573 ส่วน Apple ยกเลิกโครงการไปเลย
ถ้า “ไม่มีเทคโนโลยีในมือ” การลงแรงในอุตสาหกรรมยานยนต์หลังจากนี้ ต้องคิดอย่างรอบคอบ!!!
เพราะ Tesla เจ้าตลาดก็ไม่หยุดพัฒนา เพื่อให้ EV ก้าวล้ำไปอีก ทั้งรถยนต์ไร้คนขับ หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งว่ากันว่า การวางแผนที่จะยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีรถ EV 7,500 ดอลลาร์สำหรับการซื้อรถ EV ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายปฏิรูปภาษีของ “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีของสหรัฐ จะเป็นผลดีกับ Tesla เพราะความแข็งแกร่งของ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ขาดความน่าสนใจ
อนาคตของ EV จะขยายไปอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ก็ด้วยมาตรการอุดหนุนของรัฐบาลแต่ละประเทศเป็นสำคัญ หมดจากช่วงฮันนีมูนจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลุ้น เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้หยุดที่ EV ในจีนเองกำลังพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนควบคู่กันไปด้วย
“ผู้เขียน” ได้มีโอกาสเยี่ยมชม สถานีเติมไฮโดรเจนไห่โข่ว ที่ใช้กับ รถยนต์ (Haikou Photovoltaic Hydrogen Production and High Pressure Hydrogenation Station) เมื่อเร็วๆนี้ เขากำลังมีโครงการวิจัยไฮโดรเจนสีเขียว โดย บริษัท Haima Automobile (Haima Motor) และ China Aerospace Science and Technology Corporation เพื่อเป็นสถานีไฮโดรเจนสีเขียวแห่งแรกของมณฑลไห่หนาน ณ เมืองไห่โข่ว ซึ่งเขากำหนดให้เป็นเมืองแห่งพลังงานสะอาด ไม่ใช่ไฮโดรเจนสีอื่นแต่เป็นไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน
สถานีแห่งนี้เริ่มดำเนินการในปี 2565 ใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ขนาดกำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ ผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) หรือการแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนด้วยไฟฟ้า สามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียวได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน จากนั้นจะนำเชื้อเพลิงไปกักเก็บไว้ในถังเก็บไฮโดรเจน เพื่อปรับแรงดันให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน ก่อนนำไปเติมให้รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ใช้เวลาในการเติมประมาณ 3 นาทีต่อคัน และสามารถให้บริการได้ประมาณ 100 คันต่อวัน ตั้งเป้าหมายในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 60,000 ตันต่อปี ตอนนี้รัฐบาลเขาให้การสนับสนุนเอกชนทั้งการตั้งสถานีไฮโดรเจนและการซื้อรถไฮโดรเจน ประมาณ 30-50% ของเงินลงทุน ในส่วนของรถยนต์จะได้รับเงินอุดหนุน ประมาณ 350,000 บาทต่อคัน
สำหรับในประเทศไทย เราก็มองไฮโดรเจนไว้แล้วว่า อนาคตมาแน่นอน ได้บรรจุไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2024 แต่เราจะมุ่งไปที่ไฮโดรเจนในภาคไฟฟ้าและอุตสาหกรรมก่อน ซึ่งคิดว่าน่าจะไปได้เร็วกว่าไฮโดรเจนในรถยนต์ ที่ต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับอีกมาก ลำพัง EV เราก็ยังขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าไม่ครอบคลุมเลย
ในส่วนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ร่วมกับพันธมิตร ศึกษาสัดส่วนการนำ ก๊าซไฮโดรเจนผสมกับก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วม ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. รวมถึงศึกษาศักยภาพและพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานสะอาด พร้อมโครงสร้างพื้นฐาน ประมาณการต้นทุน การผลิต การจัดเก็บ การแปรสภาพและการขนส่งในพื้นที่ศักยภาพของกฟผ. รองรับการผลิตไฟฟ้า และ การนำไปใช้ในภาคส่วนอื่น ซึ่งตอนนี้ได้ศึกษาความเหมาะสม (Feasibility Study) เสร็จแล้ว เตรียมขออนุมัติ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ โดยมีเป้าหมายดำเนินการภายในปี 2573
เศรษฐกิจตอนนี้แต่ละธุรกิจ หากไม่อยากเจ็บตัว ถอยได้ถอย เลื่อนได้เลื่อน เลิกได้เลิก เน้นทำสิ่งที่เชี่ยวชาญ ถ้าไม่เชี่ยวชาญแต่เทรนด์ต้องไป ก็ต้องหาพันธมิตร หรือต้องค่อยๆ ทำ ทำไปดูเทรนด์ไป เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมากเกินต้าน
…………..
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)