“พลังงาน” กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการกำหนดนโยบายจึงต้องชัดเจนและรอบคอบ เหล่า “แทคโนแครต” วงการพลังงาน เห็นอะไรอยู่ผิดที่ผิดทาง ก็อดที่จะออกมาเสนอไปถึง “นายกรัฐมนตรี” ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อเบรกนโยบายบางอย่างที่กำลังจะไหลไป ซึ่งอาจมีผลกระทบระยะยาว
วันพุธที่ 4 ธ.ค.67 แกนนำกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน นำโดย คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต-ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์-นางอานิก อัมระนันทน์-ดร.คุรุจิต นาครทรรพ-ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์-ดร.อนนต์ สิริแสงทักษิณ ได้ออกโรงแถลงข่าวถึง ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (PDP 2024) ที่ตอนนี้ยังขยับไม่แล้วเสร็จ ยิ่งระดับพระกาฬคอมเมนต์ชุดใหญ่อย่างนี้ ร่างแผน PDP2024 คงไม่ได้ข้อสรุปได้ง่ายๆ ปีหน้าไตรมาสแรกจะได้เห็นหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ

โดยประเด็นหลักที่ปฏิรูปพลังงานฯให้ทำก่อนเลย คือ ให้เอาร่างแผน PDP2024 กลับมาดูใหม่หมด ตั้งแต่การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในระบบสูงเกินไป เป็นต้นเหตุให้ค่าไฟฟ้าสูงเป็นภาระกับประชาชน ทางกลุ่มฯมองว่า มาได้จากหลายสาเหตุ 1.การประเมินภาวะเศรษฐกิจคลาดเคลื่อน 2.มีการประเมินการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนอกระบบ (IPS-Independent Power Suppliers) ต่ำเกินไป และใช้ข้อมูลที่ไม่ทันสมัย ทั้งๆ ที่มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar PV) ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เองในประเทศอยู่ในปัจจุบันอย่างแพร่หลาย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในภาคอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน และภาคครัวเรือน รวมถึงการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างเอกชนกันเองที่มีมากขึ้น
การไม่เอาไฟฟ้าที่ผลิตเองใช้เอง หรือผลิตและซื้อขายกันเองระหว่างเอกชนไปใส่ มีผลทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในระบบส่งของ กฟผ. สูงเกินความจำเป็นไปมาก ทำให้วางแผนลงทุนสร้างกำลังผลิตใหม่ที่ไม่มีความคุ้มค่า เกิดความสิ้นเปลือง เป็นต้นทุนแฝงที่เป็นภาระต่อผู้บริโภค
“คุณหญิงทองทิพ” ระบุว่า ในช่วงปลายแผน PDP 2024 หรือในปี 2580 กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาจะสูงถึง 112,391 เมกะวัตต์ มีสัดส่วนสำรองไฟฟ้าถึง 49%
“ขอให้กลับมาพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่ให้คมและจริง โดยไม่มีความฝักใฝ่ที่จะต้องให้ใครได้เปรียบ-เสียปรียบ แล้วเราจะได้คำตอบจริงๆ เพราะการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเป็นรากเหง้าของนโยบายที่จะตามมา ขณะเดียวกันต้องทำให้เกิดการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าอย่างเสรี โดยแก้ไขอุปสรรคที่ทำให้เรื่องนี้เกิดไม่ได้ ด้วยการแยกระบบสายส่งไฟฟ้า และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) ให้เป็นอิสระจากการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเรื่องนี้เราเสนอมานานแล้วตั้งแต่ปี 2557”

ด้าน “ดร.ปิยสวัสดิ์” ย้ำต่อเนื่องในเรื่องเดียวกันว่า จะแข่งขันเสรีได้ ต้องแยกระบบสายส่งไฟฟ้า และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าออกจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
มีประเด็นข้อเสนอของกลุ่มฯในเรื่อง การแข่งขันเสรี ที่ให้กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ ต้องมีการเปิดประมูลอย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็น โรงไฟฟ้าฟอสซิล หรือ “พลังงานหมุนเวียน” ใครขายถูกได้ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ จึงจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคจริงๆ
กลุ่มฯซึ่งสนับสนุนไฟฟ้าเสรี ให้นิยาม “ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าใหม่” เพราะสำรองไฟฟ้า 49% กลายเป็นภาระต่อระบบ และประชาชนมากว่า โดยให้เร่งปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้าเสียที เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพ ราคาค่าไฟฟ้าต่ำ และคุณภาพบริการ
“ไฟฟ้าเสรี” ตามคอนเซปต์ของ “กลุ่มปฏิรูปพลังงานฯ” ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถขายไฟฟ้าตรงให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า โดยใช้บริการสายส่ง และสายจำหน่ายของการไฟฟ้า (Third Party Access : TPA) โดยมีการคิดค่าบริการผ่านสายส่ง/จำหน่าย (Wheeling Charges) ที่เป็นธรรม
โดยเชื่อว่า หากกิจการไฟฟ้ามีการแข่งขันที่เสรี ค่าไฟฟ้าควรที่จะลดลงตามกลไกของการผลิตและความต้องการ และการเปิดเสรีไฟฟ้าก็จะทำให้ไม่มีค่าพร้อมความจ่าย (AP) ซึ่งเป็นภาระต่อระบบมาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเห็นว่า หากต้องการลดค่าไฟฟ้า ควรเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) เพื่อเลื่อนหรือยืดระยะเวลาการคำนวณและคิดราคาค่าความพร้อมจ่ายออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้า
สำหรับในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ไฟฟ้าเสรีนั้น ทางกลุ่มฯให้มีแผนงานและมาตรการที่ชัดเจนรองรับ ยกตัวอย่าง ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใน PDP 2024 ก็ต้องมีการประมูลราคากันอย่างเป็นธรรม และสัญญาต้องมีเงื่อนไขให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ ให้สอดคล้องกับระบบเสรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หมายถึงให้เจรจาแก้ไขสัญญาได้เหมือนที่เอกชนก็ขอแก้ไขสัญญากับรัฐมาตลอด และต้องมี Level Playing Field เช่น เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อจำกัดของระบบสายส่งให้เพียงพอและเท่าเทียม ไม่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่อาจถูกครหาว่าไม่โปร่งใสหรือเลือกปฏิบัติ
ถ้าแข่งขันเสรีจริงๆต้องทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อย่างโรงไฟฟ้าหลัก ต้องเปิดนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อย่างเสรีและเป็นต้นทุนของแต่ละโรงไฟฟ้าที่จะรับผิดชอบเอง ไม่ใช่นำเข้าราคาเท่าไหร่ก็ได้และมากองรวมกับต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างระบบในปัจจุบัน
“ระบบตอนนี้ เรามีวิธีการประหลาดๆมากในการเปิดรับซื้อไฟฟ้า ถ้าแข่งขันจริงๆ ราคาค่าไฟฟ้าที่เสนอขายจะต้องลดลงมาก ไม่เคยเห็นประเทศไหนใช้เงื่อนไขที่แปลกประหลาดแบบนี้ ” ดร.ปิยสวัสดิ์ ย้ำ
สอดคล้องกับความเห็นของ “ดร.คุรุจิต” ที่บอกว่า “การประมูลไฟฟ้าหมุนเวียน เราไม่เห็นด้วยตั้งแต่ล็อตแรก เพราะ คนนอกมองด้วยความพิศวง ประมูลอย่างไรให้ราคานิ่ง และก็ไม่ประกาศว่าใช้กติกาในการคัดเลือกอะไร และตัดสินใจด้วยวิธีไหน ไม่บอก จริงๆกติกาควรโปร่งใส ใครเสนอราคาถูกที่สุดควรได้ ไม่ใช่ทุกคนได้ราคานี้หมด”

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้ว “แทคโนแครตพลังงาน” มองว่า การเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าระบบตามแผนของกระทรวงพลังงาน เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่ต้องจริงจังมากกว่านี้ โดยเสนอให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังลม ต้องพ่วงการติดตั้งแบตเตอรี่หรือระบบจัดเก็บพลังงาน เพราะต้นทุนลดลงมากและยังมีแนวโน้มลดลงอีก ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสามารถเดินได้ 24 ชม. ปิดอุปสรรคของความไม่มั่นคงของพลังงานหมุนเวียน และลดแรงกดดันในการมีโรงไฟฟ้าฟอสซิลเพื่อเป็น backup รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Floating Solar Farm) ที่เห็นว่ารัฐควรส่งเสริม โดยเฉพาะในพื้นที่เขื่อนของรัฐ รวมถึงพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมหรือพื้นที่อื่นของเอกชนด้วย เพราะจะทำให้โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังไม่ต้องสิ้นเปลืองที่ดิน
“ดร.พรายพล” ระบุว่า ต้นทุน Floating Solar Farm บวกแบตเตอร์รี่ที่ติดตั้งที่เขื่อนอุบลรัตน์ มีข้อมูลจากกฟผ.บอกว่าต้นทุนอยู่ที่ 1.8 บาทต่อหน่วยเท่านั้น
นอกจากนี้ยัง เสนอให้ออกมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) สำหรับครัวเรือนและ SME รวมถึงส่งเสริมพลังงานชีวมวล พลังงานจากขยะและก๊าซชีวภาพให้เต็มประสิทธิภาพ โดยจัดการกับอุปสรรคที่ทำให้พลังงานหมุนเวียนกลุ่มนี้เข้ามาในระบบน้อยโดยให้เพิ่มค่าไฟให้ไฟฟ้าจากขยะ เพราะช่วยลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม เป็น Externality Cost ที่ควรนำมาคิดกับค่าไฟด้วย ทั้งนำระบบจัดเก็บภาษีคาร์บอนและระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System : ETS) มาใช้ในภาคผลิตไฟฟ้าโดยเร็ว
ส่วน โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR : Small Modular Nuclear Reactor) กลุ่มฯเห็นด้วยให้มี โดยมองเป็นทางออกช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งร่างแผน PDP 2024 จะนำเข้าระบบในปลายแผน แต่ให้กำหนดแผนงานที่ชัดเจนทั้งการเข้าเป็นภาคีในพิธีสารระหว่างประเทศเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ การออกกฎหมายและกฎระเบียบกำกับดูแลและมาตรฐานความปลอดภัย การเตรียมความพร้อมที่จำเป็น การสร้างบุคลากร กำหนดสถานที่ตั้ง และการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน

ในรายละเอียดของข้อเสนอของกลุ่มปฏิรูปพลังงานฯ ยังมีเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นคลุมเครือ ถึงแนวทางการผลิตไฟฟ้ารองรับความต้องการไฟฟ้าในภาคใต้ ซึ่งตามร่างแผน PDP 2024 กำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (IPP) ขึ้นใหม่ในภาคตะวันตก 1,400 เมกะวัตต์ และต่อสายส่งไปภาคใต้
ซึ่งทางกลุ่มฯมองว่า เป็นการเอื้อต่อผู้ประกอบการเอกชนเฉพาะบางราย และจะทำให้มีต้นทุนซ่อนเร้นในการปรับปรุงวางสายส่งที่มีระยะทางไกลมายังภาคใต้ เกิด Energy Loss และขัดต่อหลักการ Distributed Generation
แต่เสนอให้ใช้วิธีประเมินต้นทุนรวมและเปิดประมูลราคาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ด้วย เช่น สร้างโรงไฟฟ้าก๊าซที่นำเข้า LNG ในภาคใต้ หรือเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนตามศักยภาพ เช่น ชีวมวลและไฟฟ้าจากขยะในภาคใต้ ไม่ใช่กำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคตะวันตก ซึ่งทำให้เอกชนบางรายได้เปรียบ
“ดร.คุรุจิต” ย้ำว่า หลักการคือการผลิตไฟฟ้าต้องใกล้ผู้ใช้ดีที่สุด ไม่ให้เกิดความสูญเสียไฟฟ้า ซึ่งทางเลือกในการผลิตไฟฟ้ารองรับความต้องการของภาคใต้มีหลายทางเลือก และมีพื้นที่รองรับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่โรงไฟฟ้ากระบี่เดิม, โรงไฟฟ้าจะนะ เฟส 2, โรงไฟฟ้าขนอม หรือโรงไฟฟ้าชีวมวล หรือโรงไฟฟ้าขยะก็ได้ โดยใช้เชื้อเพลิงในท้องถิ่น เพียงแต่ว่าเราต้องพิสูจน์แต่ละทางเลือกอย่างตั้งใจเท่านั้น
“ดร.คุรุจิต” ขอให้ชำเลืองมองรัฐวิสาหกิจ อย่าง “กฟผ.” บ้าง โดยบอกว่า “เราต้องนึกถึงกฟผ.ด้วย ไม่ใช่นึกถึงแต่เอกชน เชื่อว่ากฟผ.แข่งขันได้ เราไปห้ามเขาทำเอง”
“ดร.ปิยสวัสดิ์” ปิดท้ายการแถลงการณ์ครั้งแรกในรอบหลายปีว่า ทางกลุ่มฯมีข้อเสนอมาโดยตลอด ก็เห็นว่าก็มีการเอาไปใช้ และปรับในบางเรื่อง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ซึ่งเราจะรอดูว่าต่อไป
………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
