ตอนนี้ยุ่งเหยิงสำหรับสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” ดังนั้นหลายเรื่องพลังงานที่จะมีการรื้อและเป็นเรื่องยากๆ ก็คงจะลากยาวออกไป โดยเฉพาะ การร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เพิ่งตั้ง “คณะทำงานเพื่อรื้อ PDP”
เรื่องนี้เสร็จไม่ทันปีนี้แน่นอน จะทันยุคท่านหรือไม่ ก็ไม่รู้ได้ ส่วนการคลอดกฎหมายพลังงานฉบับใหม่ และเรื่องอื่นๆ ที่ใช้เวลาทำมาระยะหนึ่งแล้ว ดูว่ากำลังเร่งมือ เพราะเวลาเริ่มนับถอยหลัง ตามวาระรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอน
ในเรื่อง “ไฟฟ้า” มองในแง่ดีการลากยาวออกไป ก็ทำให้มีเวลาที่หลายๆ ฝ่ายจะช่วยกันตีแผ่ โครงสร้างการผลิตไฟฟ้า ในบ้านเรา เพื่อให้การวางแผนการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า เป็นแผนที่สร้างความมั่นคงให้ประเทศ และไม่สร้างภาระให้กับประชาชนมากเกินจำเป็น
ภาคไฟฟ้าหลังจากที่ได้นำเสนอไปบางส่วนแล้วในบทความก่อนหน้า ก็ยังมีหลายประเด็นที่จะต้องถูกตีแผ่กันเรื่อยๆ มองกันที่โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบบอกตรงๆ ว่าไม่รู้ชะตากรรมว่าจะออกมาแนวไหน จะเข้าระบบตามกำหนดเดิมหรือไม่ เพราะทำ PDP ใหม่ เท่ากับ นับหนึ่งใหม่ เท่ากับเริ่มเกมชักเย่อกันรอบใหม่

สำหรับโรงไฟฟ้าที่จะมารองรับความต้องการในเขตนครหลวงศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ราวๆ 10,000 เมกะวัตต์ ตอนนี้มีโรงไฟฟ้ารองรับหลักๆ คือ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ จังหวัดนนทบุรี และ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ จังหวัดสมุทรปราการ
ทั้ง 2 โรงนี้ ถือเป็นความมั่นคงให้กับกรุงเทพฯทางฝั่งธนบุรี และฝั่งด้านใต้ ส่วนการป้อนไฟฟ้าให้กับกรุงเทพฯซีกตะวันตก ต้องดึงมาจาก โรงไฟฟ้าราชบุรี ผ่านสมุทรสาคร ซึ่งโรงไฟฟ้าราชบุรี จะหมดอายุโรงไฟฟ้าในอีก 2 ปี หรือ 2570
ตาม แผน PDP ฉบับเดิม ได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และพระนครใต้หน่วยใหม่ เข้าระบบเพิ่มเติม ปี 2571-2579 ในปี 2571 โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 3 ต้องมาแล้ว 700 เมกะวัตต์ ปี 2573 โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ชุดที่ 5 เข้าระบบ 700 เมกะวัตต์ ปี 2578 โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ชุดที่ 6 เข้าระบบอีก 700 เมกะวัตต์ ปี 2579 โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 4 เข้าระบบเพิ่ม 700 เมกะวัตต์ รวม 2,800 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการในเขตนครหลวง
ส่วนในภาคใต้ซึ่งความต้องการสูงขึ้น ก็มีโรงไฟฟ้าจะชุดที่ 3 กำลังผลิต 700 เมกะวัตต์เข้าระบบในปี 2577 โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในภาคใต้ 700 เมกะวัตต์เข้าระบบปี 2579 แล้วก็มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (ตะวันตก) 1,400 เมกะวัตต์เข้าระบบปี 2576 ซึ่งสามารถป้อนได้ทั้งภาคใต้และภาคกลาง
นอกจากนี้ก็มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโรงใหม่ในภาคอีสาน 700 เมกะวัตต์เข้าระบบปี 2578 โรงไฟฟ้าใหม่นี้คงต้องเจอโรคเลื่อนแน่นอน อย่างโรงที่จะเข้าระบบในปี 2571 คือ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 3 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ยังไงก็เข้าระบบทันตามกำหนด
นอกจากเลื่อนแล้ว โรงไฟฟ้าอาจถูกละเลงใหม่ด้วย ทำให้ต้องมาลุ้นกันที่บรรทัดสุดท้ายอีกเฮือกใหญ่ ว่าแต่ละโรงจะสร้างโดยรัฐที่ดำเนินการผ่าน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ โรงไฟฟ้าของเอกชน กี่โรงกี่เมกะวัตต์ และทำที่ไหน…ขึ้นอยู่กับพลังการต่อรองของฝ่ายต่างๆ ในช่วงปลาย “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร”

นอกจากการเจรจาแล้ว ต้องไม่ลืมความเหมาะสมของที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่สำคัญกว่า ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆควรอยู่ตรงไหน อย่างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติใหม่ในภาคใต้ ที่มีบอกกันว่าพื้นที่เหมาะสมคือ สุราษฎร์ธานี ตามผลการศึกษาและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ที่กระทรวงพลังงานให้ ศูนย์บริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ดำเนินการเมื่อปี 2562 ซึ่งหลายฝ่ายได้ฝ่าดงไปรับฟังความเห็นในพื้นที่ต่างๆ ในภาคใต้กินเวลาหลายเดือนในช่วงนั้น หมดทรัพยากรและเวลากันไป แต่สุดท้ายที่ว่า “เหมาะ” ก็ยัง “ไม่แน่นอน” ว่าจะได้เกิดที่นั่นหรือไม่ด้วยแผน PDP ที่ไม่ลงตัวเสียที เอาจริงจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่า “รัฐหรือเอกชนจะเป็นคนสร้าง”
ทั้งนี้ ความเหมาะสมของโรงไฟฟ้าอยู่ตรงไหน นอกจากประเด็น “มวลชน” แล้ว ก็ยังมีปัจจัยสำคัญที่ข้ามไปไมได้ ก็คือ “การเดินท่อก๊าซฯ” มาขึ้นที่โรงไฟฟ้านั้นๆ คุ้มหรือไม่ เพราะใช้เงินมหาศาล หน่วยงานที่ต้องทำหน้าที่เดินท่อก๊าซฯ ก็ไม่ใช่จะเซย์เยสง่ายๆ เคยมีการหยิบยกสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่โรงไฟฟ้ากระบี่ ที่เดินด้วยน้ำมันเตา 300 เมกะวัตต์ แต่การวางท่อก๊าซฯไกล และหากจะเดินท่อก๊าซฯใหม่จะให้คุ้มค่าต้องมีกำลังผลิตระดับ 1,400 เมกะวัตต์ กระบึ่จึงถูกปัดตกไปด้วยประการฉะนี้
ในส่วนประเด็นที่จะต้องพูดกันอีกยาวระหว่างการทำ แผน PDP ก็คือ โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าระบบควรเลื่อนออกไปเป็นปีไหน ท่ามกลางสำรองไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องแบบนี้ เพื่อไม่ให้สำรองไฟฟ้าล้นเกิน และเป็นเกิดภาระต่อระบบ

อีกปัจจัยที่กำลังมีการพิจารณาคือ สัญญาโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะการจ่ายค่าพร้อมจ่าย (AP) ตลอดอายุสัญญาโรงไฟฟ้า 25 ปีควรต้องปรับหรือไม่ เพราะตอนนี้เมื่อโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการ โรงไฟฟ้าใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าต้นทุนต่ำกว่าจะถูกสั่งให้เดินเครื่อง ส่วนไฟฟ้าเก่าจะไม่ถูกให้เดินเครื่องหลังปีที่ 12 แต่ต้องจ่ายค่า AP ไปเรื่อยๆตั้งแต่ปีที่ 12 จนสิ้นสุดอายุโรงไฟฟ้า 25 ปีซึ่งอยู่ในโครงสร้างค่าไฟ
“กูรูพลังงาน” ระบุว่า “ปรับสัญญาเหลือ 12 ปีแล้วปลดออกจากระบบ เพื่อไม่ต้องจ่ายค่า AP ให้โรงไฟฟ้าโดยไม่ได้เดินเครื่อง แต่สุดท้ายต้องมาดูค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุการทำสัญญา 12 ปีเปรียบเทียบกับ 25 ปีเป็นอย่างไร และทำได้หรือไม่ เพราะผูกกับการกู้เงินของโรงไฟฟ้ากับสถาบันการเงินด้วย”
“พีระพันธุ์-รมว.พลังงาน” ที่ขันอาสาทำแต่เรื่องยากๆ ถึงเวลาที่ต้อง “ชนดะ” แล้ว เพราะเวลาเริ่มนับถอยหลัง ให้ผลงานใหญ่ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนออกมาต่อสาธารณะในช่วงนี้ ก็ถือว่ากดดันกันพอสมควรกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แต่หวังว่า การพิจารณา PDP ใหม่ และเรื่องอื่นๆ ที่กำลังรื้อจะถูกคิดและทำใหม่เป็นรูปธรรมบางเรื่องก็ยังดี บนเป้าหมายความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญช่วยลดภาระประชาชน ไม่เอาภาระทั้งมวลมาโปะอยู่กับผู้บริโภคปลายทาง
…………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
