พอชะตาถึงจุดดิ่ง อะไรๆ ก็กระหน่ำเข้ามาพร้อมๆ กันใน “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ในส่วนของพลังงาน พอราคาน้ำมันจะนิ่งๆ ก็เกิดมีการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไม่หยุด น้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นจาก 67.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ล่าสุดแตะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว
เนื่องจากอิหร่านมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานของโลก ฐานะเป็นสมาชิกขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมัน 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมันมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่านักวิเคราะห์หลายสำนักจะประเมินว่า กลุ่มโอเปกและพันธมิตรอย่างรัสเซียจะมีปริมาณสำรองเพียงพอที่จะชดเชยสถานการณ์ได้ก็ตาม
แต่ประเด็นความกังวลคือความยืดเยื้อของสงคราม และการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นทางเดินเรือสำคัญในการส่งน้ำมันออกจากอ่าวเปอร์เซีย ทั้งจากซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิรัก และอิหร่านที่ต่างต้องพึ่งพาช่องทางส่งออกผ่านช่องแคบนี้ และไม่ใช่แค่น้ำมัน แต่รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วย แม้คำขู่ปิดช่องแคบอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่แค่คำขู่ก็มากพอที่จะทำให้ราคาพลังงานผันผวน เพราะแต่ละวันมีน้ำมันผ่านเส้นทางนี้ถึง 18–19 ล้านบาร์เรล หรือ 20% ของทั้งโลก
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนี้จะจบอย่างไรและเมื่อใดนั้น ยากที่ผู้บริโภคจะคาดเดา เพราะเกี่ยวข้องพัวพันทั้งการเมือง การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอยู่ที่ความลงตัวทางผลประโยชน์จะออกมาในรูปแบบไหน

สำหรับประเทศที่ต้องพึ่งการนำเข้าพลังงานอย่างไทย น้ำมันก็ผันผวน LNG ก็พุ่งตาม สถานะรัฐบาลก็ไม่มั่นคง ต้องบริหารกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว เพราะไม่ใช่ว่าต้องบริหารเพื่อเสถียรภาพรัฐบาลเท่านั้น แต่หมายถึงราคาพลังงานต้องไม่ส่งผ่านมาถึงประชาชนในระยะยาว จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน ซึ่งตอนนี้ก็แย่มากพออยู่แล้ว
ในส่วนของราคา LNG ตอนนี้ขึ้นไปแล้วจาก 11 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู เป็น 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ถ้าจำกันได้เราเจ็บปวดจากต้นทุนค่าไฟพุ่งหลังราคา LNG ทะยานขึ้นสูงกันมาแล้วในช่วงสงครามรัสเซียยูเครนปะทุในช่วงปี 2565 ที่ส่งผลให้ราคา Spot LNG เฉลี่ยช่วงเดือนมกราคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 26.777 ดอลลาร์ สร้างผลกระทบต่อเนื่องที่ยังแก้กันไม่จบจนถึงตอนนี้จากมาตรการตรึงค่าไฟฟ้า
คราวนี้ LNG จะไปถึงระดับไหนไม่รู้ได้ แต่กระทบแน่นอน เพราะเราใช้ LNG ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้นทุกวัน ก๊าซฯจากอ่าวไทยสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าได้เพียง 60% แล้วที่เหลือต้องนำเข้า ดังนั้นภารกิจของกระทรวงพลังงานในระยะเฉพาะหน้านี้นอกจากบริหารราคาน้ำมันแล้ว ต้องดู LNG ที่เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าด้วย ซึ่ง ไม่เฉพาะสงคราม ยังมีปัจจัยแทรกให้ราคาพลังงานสูงขึ้นอีก จากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่ยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่ทำให้ต้องใช้พลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันตลาดโลกเพิ่ม ราคาก็เพิ่ม
สำหรับการดูแลราคาน้ำมัน กระทรวงพลังงานวางแนวตั้งรับไว้ 3 มาตรการ ก็คือใช้กลไกเดิม คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาลดราคาน้ำมัน ,การปรับลดภาษีสรรพสามิต เพื่อตรึงราคาน้ำมัน และหากไม่ไหวก็ปล่อยราคาตามตลาดโลก โฟกัสที่ดีเซลเป็นหลักที่ต้องตรึงไปเรื่อยๆ เพราะหากปรับขึ้นตอนนี้ยิ่งเป็นตัวเร่งความสั่นคลอนของรัฐบาล ก็ปรับขึ้นปุ๊บ ราคาสินค้าขึ้นทันทีแล้วก็ลอยอยู่อย่างนั้น เวลาราคาน้ำมันลงราคาสินค้าไม่ลงตามด้วย
ล่าสุดกระทรวงพลังงานใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ ช่วยตรึงดีเซลทำไปแล้วหนึ่งรอบ โดยปรับลดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯในส่วนดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2568 เพื่อตรึงราคาดีเซลไม่ให้ปรับขึ้นเกิน 32 บาทต่อลิตร ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ราคาอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร แต่คงต้องใช้กองทุนน้ำมันฯเพื่อตรึงราคาดีเซลอีก เพราะมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบดูไบจะปรับขึ้นจาก 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ความยากในตอนนี้คือ ไม่สามารถใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯตรึงราคาน้ำมันไปได้ยาวๆ “ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ” ปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุว่า จะดันไหวได้อีก 5 ดอลลาร์ หมายถึงหากราคาน้ำมันดิบดูไบขยับขึ้นไปจาก 75 ดอลลาร์ไปแตะ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต้องหาทางหนีทีไล่ทางอื่นที่ไม่ใช่กลไกกองทุนน้ำมันฯ เพราะหากเลยไปจากนั้นกองทุนน้ำมันฯที่เก็บจากดีเซลอยู่ 1 บาทต่อลิตรจะเริ่มติดลบ
ในภาพรวมแล้วแม้กองทุนน้ำมันฯจะมีสถานะดีขึ้น ติดลบลดลงเหลือ 36,268 ล้านบาท (ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568) จากติดลบ 120,000 ล้านบาทเมื่อปี 2567 แต่สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม เพราะกองทุนน้ำมันฯจำเป็นต้องมีเงินไหลเข้าเพื่อชำระหนี้เงินกู้เดือนละ 2,300 ล้านบาท ซึ่งการการจ่ายหนี้จะขยับไปตามลำดับ เดือนตุลาคมต้องชำระเป็น 2,700 ล้านบาทต่อเดือน
ดังนั้นหากกลไกกองทุนน้ำมันฯไปไม่ได้แล้ว ก็ต้องหันไปมองการใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตซึ่งก็น่าจะยากในตอนนี้ เพราะรัฐบาลต้องการรายได้ ถึงที่สุดก็ต้องขยับปล่อยราคาน้ำมัน แต่คงเน้นไปที่การปรับราคาเบนซิน เพื่อรักษากระแสเงินสดของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนดีเซลยังต้องดูแลต่อ ซึ่งจุดพีคของการใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯจะอยู่ที่เดือนกันยายน เพราะพอเข้าตุลาคมแล้วจะเข้าสู่ฤดูหนาวของยุโรปและอเมริกาที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูง กองทุนน้ำมันฯจะรับทั้งปัจจัยสงครามอิสราเอลและอิหร่าน และฤดูกาลไม่ไหว
มีสิ่งเดียวที่จะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย คือ “สถานการณ์ต้องไม่ยืดเยื้อ” แต่ใครจะบอกได้ ? ว่าเมื่อไหร่ฝ่ายข้าราชการประจำก็ลุ้นกันตัวโก่ง เพราะราคาพลังงานก็เป็นอีกปัจจัยที่จะซ้ำเติมเสถียรภาพรัฐบาล แม้เจ้ากระทรวงอย่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะยังมุ่งร่างกฎหมายพลังงานให้เสร็จ และมอนิเตอร์สั่งงานให้หน่วยงานต่างๆดูแลสถานการณ์ราคาพลังงานอยู่ แต่ ณ บัดนี้มาถึงจุดลุ้นสถานะรัฐบาลและครม.เป็นรายวินาที
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มานั่งเป็นหัวโต๊ะประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 5/2568 ที่กระทรวงพลังงาน แต่บอกไม่ได้เลยว่าประชุมครั้งต่อไปหัวโต๊ะจะเป็นคนเดิมหรือคนใหม่ ?
…………….
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
