ฝ่ายความมั่นคงจับตามองกลุ่มเคลื่อนไหวออกมาด้อยค่ารัฐบาล เผย มีการเมืองบางกลุ่มหนุนการแบ่งแยกดินแดน ถือเป็นกบฎในราชอาณาจักร
@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย.66 เรื่องของการเมืองยังไม่นิ่ง ยังคงมีการเคลื่อนไหว ล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในบางจังหวัด ก็รอดูว่าจะส่งผลการเปลี่ยนแปลงในการตั้งรัฐบาลหรือไม่
@@@……สัปดาห์ที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคการเมืองที่คาดว่าจะได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนสูงสุดเคลื่อนไหวทํากิจกรรมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมือง และทางสังคม ในฐานะพรรคแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการจัดคณะเดินทางไปที่องค์กรต่อต้านคอรัรัปชั่น ประเทศไทย ACT โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการพบปะหารือแลกเปลี่ยนนโยบายต่อต้านการคอรัรัปชัน โดยจะเห็นได้ว่าภายหลังการพบปะหารือ ดังกล่าว ได้พยายามตั้งข้อสังเกตการทํางานของรัฐบาลไปในเชิงทุจริตคอรัรัปชั่น โดยเฉพาะ กรณีโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลในปี 65 ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเชื่อมโยงโจมตีนายกรัฐมนตรี และด้อยค่ารัฐบาลอย่างมี นัยสําคัญ
@@@……ขณะเดียวกัน การออกมาเคลื่อนไหวในประเด็น “ส่วยสติ๊กเกอร์” ที่กําลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์สทางสังคมในขณะนี้ เพื่อให้สอดรับการสะท้อนปัญหาคอรัรัปชั่นทําให้ดูเสมือนว่าข้อกล่าวหาดูมีน้ําหนักมากขึ้น ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวในประเด็นเหล่านี้ อาจทําให้สังคมคล้อยตามอยู่บ้าง เนื่องจากกรณีส่วยสติกเกอร์ ปรากฎหลักฐาน ค่อนข้างชัดเจน จึงทําให้ถูกมองว่ารัฐบาลปล่อยปละละเลย ทั้งยังมีแนวโน้มว่า ประเด็นส่วยสติกเกอร์จะยังคงถูกนําไปขยายผลบิดเบือนโจมตีนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว มันคือ ปัญหาอั้งยี่ซ่องโจรตบทรัพย์ผู้ประกอบการรายย่อยโลภมาก และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนหนึ่งรับสินบนบนพื้นฐานประโยชน์ต่างตอบแทน ซึ่งปราบปรามให้หมดสิ้นได้ยาก มิใช่การปล่อยปละละเลย รวมทั้งมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
@@@……ขณะที่ ทางด้านของกลุ่มเห็นต่าง โดยเฉพาะกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย และแนวร่วม ที่พยายาม เคลื่อนไหวกดดันเร่งรัด กกต. ให้รับรองผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งขอไม่ให้รับกรณีหุ้นสื่อของหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งไว้พิจารณา ด้วยการอ้างเป็นตัวแทนเสียงประชาชนที่เลือกฝ่ายการเมืองเข้ามาเพื่อสร้างความชอบธรรม โดยจะเห็นได้ว่าผู้ร่วมกิจกรรมล้วนเป็นนักกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับพรรค และเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันฯ แทบทั้งสิ้น อีกทั้งยังแสดงท่าทีข่มขู่ว่าจะมีการชุมนุมประท้วงลงถนนผิดกฎหมาย หากในที่สุดแล้วหัวหน้าพรรคดังกล่าวไม่ได้เข้าสู่ตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการใช้ความรุนแรงในบ้านเมืองขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเลือกตั้ง ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มแสดงท่าทีคล้ายจะสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งอาจถือว่าเป็นกบฏในราชอาณาจักร รวมทั้งพยายามที่จะด้อยค่า และแทรกแซงกิจการภายในกองทัพในหลายประเด็นที่ละเอียดอ่อน ซึ่งฝ่ายความมั่นคง จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
@@@……อย่างไรก็ตาม ฝ่ายความมั่นคง ยังคงเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพยายามชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน มีการปฏิวัติรัฐประหารมาแล้ว 25 ครั้ง ขึ้นอยู่กับวืธีการนับด้วย ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งไม่สำเร็จ กลายเป็นกบฏ ..ทั้งนี้ การรัฐประหารส่วนหนึ่งแม้จะเกิดขึ้นจากความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน และการทุจริตคอรัปชั่นแล้ว ประมาณมากกว่าครึ่งของครั้งที่ประสบความสำเร็จนั้น เกิดขึ้นจากการแทรกแซงการกิจการภายในกองทัพอย่างไร้ความรับผิดชอบจากฝ่ายการเมืองก่อน แต่สุดท้ายก็จบด้วยการถูกแทรกแซงกลับด้วยกำลังจากฝ่ายทหารนั่นเอง .. ฝ่ายความมั่นคง ยังคงเชื่อมั่นว่า การจัดตั้งรัฐบาลจากนี้ไป เป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ที่จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยวิถีทางการเมืองที่เน้นความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และไม่สมควรปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงใด ๆ เพื่อให้ความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของไทย ได้รับการประกัน ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนคนไทยทุกคนให้สำเร็จได้ในที่สุด
@@@……กลับมากับภารกิจทหารกันบ้าง ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งได้กำหนดให้ส่วนราชการลดการใช้พลังงาน ร้อยละ 20 โดยใช้มาตรการที่ปฏิบัติได้ทันที ดังนี้ ด้านไฟฟ้า ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เช่น กำหนดเวลาเปิด – ปิด 08.30 น. – 16.30 น. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ 25-26 องศาเซลเซียส ล้างแอร์ทุก 6 เดือน มาตรการด้านแสงสว่าง เช่น การใช้หลอดไฟ LED มาตรการใช้อุปกรณ์สำหรับงาน โดยให้ตั้งโปรแกรมปิดหน้าจออัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน มาตรการการใช้ลิฟต์อาจให้หยุดเฉพาะชั้นคู่ ชั้นคี่ หรือการรณรงค์ให้ใช้บันได นอกจากนี้ ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงได้มอบแนวทางการประหยัดพลังงาน โดยเลือกให้ใช้รถยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพการเดินทาง และจำนวนผู้เดินทางหรือใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น แก๊สโซฮอล์ไบโอดีเซลก่อนเป็นอันดับแรก ตรวจเช็ครถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด เติมลมยางให้เหมาะสมและใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแทนการเดินทาง เช่น การประชุมออนไลน์ การจัดส่งเอกสารทางอีเมล เป็นต้น
@@@……จากมติดังกล่าว ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ได้ลดการใช้พลังงานในภาพรวมของกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายของมาตรการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ดังนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีการใช้ไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 38.07 และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ร้อยละ 71.09 กองบัญชาการกองทัพไทย มีการใช้ไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 60.51 และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ร้อยละ 31.25 กองทัพบก มีการใช้ไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 46.84 และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ร้อยละ 48.88 กองทัพเรือ มีการใช้ไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 48.14 และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ร้อยละ 60.52 กองทัพอากาศ มีการใช้ไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 30.93 และมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ร้อยละ 24.84 อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหม สามารถตอบสนองมาตราประหยัดพลังงาน ตามที่ คณะรัฐมนตรีกำหนด ได้เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งยังกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินการตามมาตรการในหน่วยทหารอย่างเคร่งครัด ตลอดจนส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์พลังงานและลดรายจ่ายด้านงบประมาณของประเทศให้ได้มากที่สุด
@@@……กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้เดินทางเยือนเมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดอาเซียน ครั้งที่ 20 (The 20th ASEAN Chiefs of Defence Forces Meeting (ACDFM-20)) โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้แทน จาก เนการาบรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าร่วมการประชุม นอกจากนี้ยังมี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต เข้าร่วมการประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยการประชุมครั้งนี้ ได้กำหนดหัวข้อหลักของการประชุมฯ คือ “Peace, Prosperity, and Security” (สันติภาพ ความรุ่งเรือง และความมั่นคง) เป็นการดำเนินการตามแผนงานของประชาคมการเมือง-ความมั่นคงอาเซียน 2568 (ASEAN Political-Security Community Blueprint 2025) ซึ่งมีการเน้นย้ำเรื่องความร่วมมือทางทหารในการรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค เพื่อความรุ่งเรืองร่วมกัน
@@@……ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ครอบคลุม แผนการดำเนินกิจกรรมร่วมในระยะเวลา 2 ปีของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียน ปี พ.ศ.2566-2568 (ASEAN Militaries 2 year Activity Work Plan (2023-2025)) และรับรองแผนงานเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ด้านการข่าวในระดับเจ้าหน้าที่อาเซียนและการฝึกทางทหาร อาเซียน ทั้งนี้ กองทัพอินโดนีเซียได้ส่งมอบตำแหน่งประธานการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดอาเซียน ครั้งต่อไป (ครั้งที่ 21) ซึ่งรวมถึง การประชุมเจ้ากรมข่าวทหารอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมเจ้ากรมยุทธการทหารอาเซียนครั้งที่ 14 ให้แก่กองทัพสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อรับหน้าที่ในปี 2567 ต่อไป
@@@……ที่กองทัพบก….พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พร้อมด้วย พล.ต.หญิง พิมพ์พิศา จิตต์แก้วแท้ นายกสมาคมแม่บ้านทหารบก เป็นประธานเปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมีผู้บังคับบัญชาชั้นสูง พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมพิธี ณ อาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ชั้น 2 อาคาร 2 กองบัญชาการกองทัพบก สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบก ก่อตั้งขึ้นตามนโยบายของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เพื่อดูแลและส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้บุตรก่อนวัยเรียนของกำลังพลของหน่วยภายในกองบัญชาการกองทัพบก และฝั่งมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งเป็นสวัสดิการและช่วยแบ่งเบาภาระให้กับกำลังพล โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างจากสมาคมแม่บ้านทหารบก และงบประมาณดำเนินการจากกองทุนสวัสดิการกองทัพบก เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา
@@@……การดำเนินการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบก ถือเป็นการช่วยเหลือข้าราชการ และพนักงานราชการของหน่วยในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก และฝั่งมัฆวานรังสรรค์ ในการดูแลเด็กในช่วงบิดา มารดาปฏิบัติงาน อีกทั้งเป็นการปลูกฝัง ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ ตลอดจนฝึกฝนบุตรกำลังพลให้มีระเบียบวินัย มีความสามัคคี และรู้จักปรับตัวให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขานุการกองทัพบกเป็นหน่วยรับผิดชอบในการกำกับดูแล และบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ดังกล่าว โดยกำลังพลที่สนใจสามารถนำเด็กมาสมัครด้วยตนเองได้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบกได้ทุกวันในเวลาราชการ เจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจะเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 07.00 น-17.00 น ของวันทำการ
@@@……สำหรับหลักเกณฑ์การรับเด็ก ได้แก่ เด็กมีอายุตั้งแต่ 2-3 ปี 6 เดือน ( เด็กก่อนวัยเรียน ) เป็นบุตรข้าราชการ พนักงานราชการของหน่วยในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก และฝั่งมัฆวานรังสรรค์ รับเด็กประเภทมาเช้า-เย็นกลับ ในเวลาราชการ และเด็กต้องมีสุขภาพแข็งแรง และไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง เด็กทุกคนจะได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเด็กที่ได้ผ่านการอบรมเรื่องการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน และมีจำนวนเพียงพอเหมาะสมกับจำนวนของเด็กที่รับบริการจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อให้การเอาใจใส่ดูแลทั่วถึง โดยเน้นย้ำเรื่องการดำเนินการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ตามระเบียบศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบก ว่าด้วยเรื่องการดำเนินกิจกรรมศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายในกองบัญชาการกองทัพบก พ.ศ. 2566 รวมทั้งดำเนินการภายใต้มาตรฐานการดูแลเด็กเล็ก ของกระทรวงการพัฒนาสังคม และ ความมั่นคงของมนุษย์
@@@……พล.อ.สัณทัศน์ นันทิภาคย์หิรัญ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงนิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกพิการบางไทร โดยมีคณะที่ปรึกษาผู้อำนวยการองค์การฯ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงองค์การฯ และสื่อมวลชน เข้าร่วมในพิธี จากนั้นได้เยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ฯ ตามฐานต่าง ๆ อาทิ แปลงสาธิตการปลูกผัก, โรงเรือนพลาสติกปลูกพืชคุณภาพ (เมล่อน), โรงเรือนเพาะเห็ด, แปลงสาธิตการทำนา, แปลงปลูกพืชเศรษฐกิจ, โรงเรือนเลี้ยงสัตว์สวยงามและสัตว์เศรษฐกิจ, ธนาคารขยะและธนาคารปุ๋ย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากกลุ่มแม่บ้านสมาชิกนิคมฯบางไทร และร่วมปล่อยปลาเบญจพรรณ จำนวน 2,000 ตัว
@@@……สำหรับนิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกพิการบางไทร ตั้งอยู่ที่ตำบลบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเนื้อที่ประมาณ 314 ไร่ โดยจัดสรรให้แก่ทหารผ่านศึกที่พิการทุพพลภาพจากการรบ จำนวน 80 ครอบครัว ๆ ละประมาณ 2.5 ไร่ รวมทั้งได้ส่งเสริมการประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบผสมผสาน อาทิ การปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พร้อมทั้งส่งเสริมการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ นิคมฯ บางไทร ได้จัดทำโครงการศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ในเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ โดยน้อมนำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางปฏิบัติ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย พื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่ศูนย์การเรียนรู้และแปลงสาธิต พื้นที่แหล่งน้ำ และพื้นที่สาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านในนิคมฯ บางไทร
………………………………….
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย… “รหัสมอร์ส”