วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSOIC เยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชื่นชมการดำเนินการของไทย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

OIC เยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชื่นชมการดำเนินการของไทย

นายกรัฐมนตรี ตรวจความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อม การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร ในที่ 27 ต.ค. 2567

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 15 มิ.ย..2567 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้เป็นผู้นำคณะทูตกลุ่มประเทศมุสลิม และผู้บริหารระดับสูง ร่วมกิจกรรมเสริมความเข้าใจ และสานสัมพันธ์คณะทูตกลุ่มประเทศมุสลิม ประจำปี 2567 โดยมีคณะทูตกลุ่มประเทศมุสลิม The Organization of Islamic Cooperation : OIC จาก 12 ประเทศ เข้าร่วม ณ TK Park ยะลา อุทยานการเรียนรู้ยะลา อ.เมืองยะลา จ.ยะลา 

ขอบคุณภาพ กองทัพภาคที่ 4

@@@…….ในกิจกรรม คณะทูต OIC ได้รับฟังการนำเสนอการขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต., พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นมีการแลกเปลี่ยนเสวนาประเด็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ทางนโยบายของผู้เข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้นำคณะทูต เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ OTOP ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ ผ้าบาติก ที่ได้รับการพัฒนาตามพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” และ “Sustainable Fashion” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ไปพร้อมด้วย 

@@@……ทั้งนี้ การสานสัมพันธ์ คณะทูตกลุ่มประเทศมุสลิมประจําปี 2567 ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นกิจกรรมของ ศอ.บต. ครั้งนี้ โดยวันแรกของการมาเยือนจะนําคณะไปที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เพื่อสื่อให้เห็นว่า รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ และเคารพสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจของแต่ละศาสนาในพื้นที่ เนื่องจากมัสยิดเป็นศูนย์กลางในการประกอบศาสนกิจของชาวไทยมุสลิม และเป็นสถานที่ศูนย์รวมจิตใจของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานในชายแดนใต้ กิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจ และสานสัมพันธ์คณะทูตกลุ่มประเทศมุสลิม OIC และสื่อให้เห็นว่า รัฐบาลไทยพร้อมที่จะสนับสนุนทุกศาสนาเพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสนัติสุข และเข้าใจกันใน สังคมพหุวัฒนธรรม อีกทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยรวมถึงรัฐบาลทั้งนอดีตจนถึงปัจจุบันได้ให้การสนับสนุน ในกิจกรรมด้านศาสนาตลอดมา 

ขอบคุณภาพ กองทัพภาคที่ 4

@@@…….การที่ OIC มีกําหนดการเดินทางมาเยือนครั้งนี้ จะได้เห็นถึงการส่งเสริม และสนับสนุนด้านศาสนาจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องนั้น อาจทําให้มีความเข้าใจสถานการณ์มากยิ่งขึ้น และสนับสนุนกระบวนการสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดสันติสุขที่ยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ตาม ในห้วงดังกล่าว BRN และกลุ่มก่อความไม่สงบ อาจก่อเหตุรุนแรงสร้างสถานการณ์ เพื่อให้ OIC เข้าใจว่ายังมีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ ดังนั้น ฝ่ายความมั่นคง จึงต้องติดตาม และเฝ้าระวังโดยใกล้ชิด ซึ่งคาดหมายว่า การดำเนินกิจกรรม จะส่งผลดีต่อความมั่นคง และการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต.ได้สำเร็จในที่สุด 

@@@…….ตรวจความก้าวหน้า…..นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตรวจความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อม การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหารในวันอาทิตย์ที่ 27 ต.ค.2567 ประกอบด้วย การซ่อมทำเรือพระที่นั่ง และเรือรูปสัตว์ การฝึกกำลังพลฝีพายเรือพระราชพิธี พร้อมทั้งให้โอวาท โดยมี พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร และ พล.ร.ท.วิจิตร ตันประภา รองเสนาธิการทหารเรือ/ประธานคณะกรรมการจัดเตรียมความพร้อมขบวนเรือพระราชพิธี ร่วมให้การต้อนรับ ณ แผนกเรือราชพิธี กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี กรมศิลปากร 

@@@…….โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวให้โอวาทว่า ยินดีที่ได้มาพบกับกำลังพลทุกคนในวันนี้ พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ด้วยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคมีความสำคัญ และหน้าที่ที่ทุกท่านได้รับผิดชอบเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้กำลังพลทุกคนภาคภูมิใจ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การจัดพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ด้วยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เป็นไปอย่างสมพระเกียรติสูงสุด กองทัพเรือ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 การพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งได้มีการเตรียมการด้านการฝึกซ้อมกำลังพลฝีพาย และการซ่อมบำรุงเรือ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในส่วนอื่น ๆ เพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ 

@@@…….ในส่วนของการฝึกซ้อมฝีพายเรือพระราชพิธีนั้น กองทัพเรือโดยคณะกรรมการเตรียมการจัดขบวนพยุหะยาตราทางชลมารคได้ดำเนินการจัดการฝึกซ้อมฝีพาย ประกอบด้วย การฝึกครูฝึกฝีพาย ระหว่าง 12 ก.พ.– มี.ค. 2567 รวม 20 วันงาน และ การฝึกฝีพายบนเขียง ระหว่าง 18 มี.ค.– 16 พ.ค. 2567 รวม 40 วันงาน โดยจะทำการแยกฝึกตามหน่วยต่างๆทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่สัตหีบ การฝึกฝีพายในหน่วยในเรือในน้ำ ระหว่าง 28 พ.ค.– 30 ก.ค. 2567 รวม 40 วันงาน ก่อนที่จะมีการฝึกจัดรูปกระบวนในแม่น้ำเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการซ้อมย่อยและซ้อมใหญ่ในโอกาสต่อไป สำหรับการซ่อมบำรุงเรือพระราชพิธี นั้น อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ ได้นำเรือพระที่นั่งรูปสัตว์ รวมถึงเรือในขบวนเรือพระราชพิธีลำอื่น ๆ มาซ่อมบำรุง ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จึงทำการส่งมอบให้ กรมศิลปากร เพื่อดำเนินการประดับตกแต่งตัวเรือตามแผนปฏิบัติงานการจัดขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค พ.ศ.2567 โดยการดำเนินการในส่วนของกรมศิลปากร จะเป็นการตกแต่งรายละเอียด เช่น วาดลวดลาย ติดกระจกเกรียบกระจกสีทำจากแร่ดีบุก ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ซึ่งคาดว่า จะแล้วเสร็จในวันที่ 30 มิ.ย. 2567 ก่อนจะมีการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำ เพื่อเตรียมการในส่วนของ การฝึกซ้อมฝีพายต่อไป 

@@@…….นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 27– 29 ก.ค. 2567 กองทัพเรือ ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต อัญเชิญเรือพระที่นั่ง จำนวน 3 ลำ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช จัดแสดงแบบผูกทุ่น ประกอบกาพย์เห่เรือเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมทั้งจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ บริเวณท่าราชวรดิฐ ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ ใช้เรือพระราชพิธี จำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ จัดขบวนเป็น 5 ริ้ว ความยาว 1,200 เมตร กว้าง 90 เมตร โดยใช้กำลังพลประจำเรือในขบวนเรือพระราชพิธี รวมทั้งสิ้น 2,200 นาย และงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กำหนดจัดให้มีขึ้นในวันที่ 27 ต.ค. 2567 

@@@…….กองบัญชาการกองทัพไทย…..พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกหลักสูตรการตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิด (TMAC) ณ สนามฝึกจารุมณี กรมการทหารช่าง จังหวัดราชบุรี โดยมีกำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย เข้ารับการฝึกร่วมกับเหล่าทัพ จำนวน 4 นาย ประกอบด้วย นายทหารหญิง 3 นาย และทหารชาย 1 นาย ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวขอบคุณ และให้กำลังใจผู้เข้ารับการฝึกทุกนาย ที่มีความมุ่งมั่น เสียสละ ในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงภัย และมีความอันตรายในทุกเสี้ยวนาที และขอชื่นชมหัวใจของกำลังพลทุกนาย ที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน  จากนั้นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ตรวจเยี่ยมงานปรับปรุงอาคารของ โรงเรียนทหารช่าง กรมการทหารช่าง ให้เป็นศูนย์ฝึกตรวจค้นทุ่นระเบิดฯ เพื่อสนับสนุนฝึกหลักสูตรการตรวจค้นและทำลายทุ่นระเบิด (TMAC)  

@@@…….โดย หลักสูตรฯ ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึก ได้มีความสามารถในการปฏิบัติการตรวจค้น และทำลายทุ่นระเบิด กับระเบิด ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งหากดำเนินการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนได้ทั้งหมด จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม อันนำมาสู่ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาล เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน และเป็นการปฏิบัติการตามพันธกรณีตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 หรืออนุสัญญาออตตาวา โดยมีศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงานการปฏิบัติ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ดำเนินการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังอยู่ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชายแดนได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังส่งผลในด้านความปลอดภัยต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน อีกด้วย

@@@…….กองทัพบก….พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก นำคณะผู้บังคับบัญชาและเจ้ากรมฝ่ายเสนาธิการตรวจเยี่ยมกองกำลังผาเมืองในพื้นที่ จ.น่าน และ จ.พะเยา โดยได้เข้าเยี่ยมชมอนุสาวรีย์วีรกรรม พลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ทุ่งช้าง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดีวีรกรรมของวีรชนในอดีต ที่ได้สละชีวิตร่วมกันต่อสู้เพื่อปกป้องราชอาณาจักรไทยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ก่อนเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ทหารกลางแจ้ง อนุสรณ์สถาน 17 ทหารกล้า ณ ฐานปฏิบัติการ 17 ทหารกล้า (ฐานปฏิบัติการบ้านห้วยโก๋นเก่า) อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ซึ่งในอดีตทหารไทยทั้ง 17 นาย ได้ต่อสู้เพื่อรักษาฐานแห่งนี้ไว้ได้ และปัจจุบันกองทัพบกได้ร่วมกับ จ.น่าน ปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้บทเรียนจากการรบในอดีต “ยุทธภูมิบ้านห้วยโก๋น” ให้กับกำลังพล ครอบครัว ประชาชนและเยาวชนทั่วไป 

@@@……จากนั้นคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมติดตามการปฏิบัติงานของกองกำลังผาเมืองและหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 32 ณ กองบังคับการกองร้อยทหารพรานที่ 3202 ฐานปฏิบัติการบ้านห้วยโก๋น ซึ่งดูแลรับผิดชอบระหว่างชายแดนไทยกับ สปป.ลาว และเมียนมา โดยผู้บัญชาการทหารบกได้รับฟังการบรรยายสรุปของหน่วยในการปฏิบัติตามพันธกิจ 5 ประการของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้แก่ การเฝ้าตรวจและป้องกันชายแดน, การเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน, การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน, การประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และการปฏิบัติในพื้นที่ระวังป้องกัน รวมทั้งภารกิจอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งกองกำลังผาเมืองยังคงติดตามประเมินสถานการณ์ชายแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดทางหน่วยได้จัดตั้งกองบังคับการควบคุมกองกำลังผาเมืองด้านลาว เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งในและระหว่างพื้นที่ชายแดน ขณะเดียวกันหน่วยได้รายงานผลการแจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้ให้การสนับสนุนให้กับหน่วยปฏิบัติ อาทิ โดรนตรวจการณ์, เครื่องค้นหาด้วยดาวเทียม, กล้อง Action Camera บนหมวก และกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหว 

 ………………………………….

 คอลัมน์ : “Military Key”

 โดย….“รหัสมอร์ส”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img