การที่นักสิทธิมนุษยชนใช้สื่อออกแถลงการณ์กดดันการทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ พยายามดึง UN ให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งจะเข้าเงื่อนไขเรื่องสิทธิกําหนดใจตนเองเพื่อขอแบ่งแยกดินแดน หรือปกครองตนเอง
@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ www. thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 6 ก.ค.67 เหตุการณ์กลุ่มขบวนการโจรใต้ ลอบระเบิดหน้าแฟลตตํารวจ สภ.บันนังสตา เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ทําให้ครูตาดีกาหญิงเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ ขณะออกไปจ่ายตลาด เพื่อมาทําอาหารให้เด็กๆ รวมถึงมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทั้งเด็กเล็ก และผู้หญิงบาดเจ็บอีกกว่า 20 คน
@@@…….จากกระแสสังคมรวมไปถึงชาวบ้านในพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก และตั้งคําถามต่อนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ เหตุใดถึงไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ หรือออกมาเรียกร้องประณามกลุ่มขบวนการโจรใต้ที่กระทําทารุณโหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่เลย แต่กลับกระตือรือร้น และให้ความสําคัญทุกครั้งเมื่อกลุ่มโจรใต้ แนวร่วม เสียชีวิต หรือถูกจับกุม ต่างออกมากดดัน เจ้าหน้าที่อย่างหนักให้ปล่อยตัว หรือรับผิดชอบเมื่อมีการวิสามัญ
@@@…….อย่างไรก็ตาม เมื่อนำคําแถลงการณ์ของนักสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มมาพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้วนั้น ทำให้ฝ่ายความมั่นคง หดหู่ใจไปกว่าเดิม เสมือนไม่ใช่การออกมาประณามกลุ่มโจรใต้อย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เป็นการออกมา สนับสนุนการยกระดับความรุนแรงที่ต้องการให้สถานการณ์ถูกมองเป็นภาวะสงคราม เพื่อดึงต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือกลุ่มขบวนการโจรใต้ในประเทศไทย และในคําแถลงการณ์ยังมีการแฝงไปด้วยการข่มขู่กดดัน เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ มิให้กระทํารุนแรงใดๆ ต่อกลุ่มโจรใต้ และให้เจ้าหน้าที่อดทนห้ามเป็นผู้กระทําก่อน ซึ่งดูเหมือนจะดี แต่สอดไส้การดูถูกคุณค่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไว้อย่างโหดร้าย และเป็นการประกาศแบบเนียน ๆ ว่ากลุ่มตนพร้อมให้ความช่วยเหลือกลุ่มฆาตรกร และผู้กระทําผิดกฎหมายตลอดเวลา
@@@…….เป็นที่ชัดเจนอย่างที่ทุกคนเคยทราบกันมาแล้วกับ การกระทําของนักสิทธิมนุษยชนไทยบางคนที่ไปยืนชูป้ายสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ออกไปจากประเทศไทย และเคยไปพูดในที่ประชุม UN เมื่อก่อนหน้านี้อีกต่างหาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มไม่มีความจริงใจ จงใจด้อยค่าภาครัฐ หรือเข้าใจอะไรผิด รวมทั้งไม่มีความปรารถนาดีต่อชาติในสถานการณ์ จชต. ..การที่เครือข่ายภาคประชาสังคมผู้เห็นต่างบางกลุ่ม ออกแถลงการณ์มุ่งโจมตี และด้อยค่ากระบวนการทํางาน ของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงของโจรใต้ในพื้นที่ จชต. แต่ไม่มีการประณามผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด อีกทั้งมีการนําถ้อยคํา คําว่า “ขัดกันด้วยอาวุธ” มาใช้ในแถลงการณ์ ซึ่งมีความล่อแหลม อาจมีเจตนาเพื่อต้องการให้สถานการณ์ในพื้นที่ จชต. ขยายตัวเข้าสู่เงื่อนไขสากล และดึงองค์กรต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศของไทย ซึ่งฝ่ายความมั่นคง ถือเป็นประเด็นความมั่นคงสำคัญที่ล่อแหลมไม่อาจยอมรับได้
@@@……ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาดังกล่าว นับว่าเป็นสิ่งที่ดีในการกระตุ้นเตือนให้ฝ่ายความมั่นคงได้ตระหนักถึงจุดยืนของนักสิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคมต่างๆ บางกลุ่มที่เคยออกมาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อประชาชน แต่การ กระทําที่แสดงออกกลับมีนัยแอบแฝง แนวความคิดของกลุ่มเป็นหลัก โดยใช้สื่อออกมาแถลงการณ์กดดันในการทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อีกทั้งยังพยายามดึงองค์การสหประชาชาติให้เข้ามาแก้ไขปัญหา ซึ่งจะเข้าเงื่อนไขเรื่องสิทธิกําหนดใจตนเอง Right to Self-Determination : RSD เพื่อขอแบ่งแยกดินแดน หรือปกครองตนเอง
@@@…….ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐ ฝ่ายปกครอง ประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดิน และหน่วยงานความมั่นคง ควรเฝ้าติดตาม และหาความเชื่อมโยงระหว่าง กลุ่มภาคประชาสังคมที่เห็นต่างเหล่านี้ รวมทั้ง BRN ว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร หากมีเงื่อนไขที่กระทําผิดกฎหมาย ก็ควรมีการบังคับใช้กฎหมาย และประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างกระจ่างแจ้ง เพื่อสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างประชาชนในพื้นที่ กับภาครัฐ และเมื่อประชาชนได้รับทราบตระหนักรู้ความจริงแล้ว ก็จะช่วยแจ้งเบาะแสสิ่งผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขี้น เพื่อลดความเสียหายแก่ชีวิต และทรัพย์สิน จนฝ่ายความมั่นคง สามารถสถาปนาสันติสุข และความมั่นคงในพื้นที่ จชต.ให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของประชาชนได้สำเร็จในที่สุดจากนี้ไป
@@@…….วันก่อน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/กรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เข้าร่วมการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (วาระพิเศษ) มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.)/ประธานกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นประธานการประชุม โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการบูรณาการงานความมั่นคง และการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกันนี้ได้รับฟังผลความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ และได้มอบแนวทางการดำเนินการรองรับผลกระทบจากผู้หลบหนีเข้าเมืองและแรงงานต่างด้าว พร้อมกำชับให้ ผอ.รมน. จังหวัด ใช้กลไก กอ.รมน. สนับสนุนการทำงานในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
@@@…….สำหรับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด นายกรัฐมนตรี/ผอ.รมน. ได้กล่าวว่า ยาเสพติด คือ วาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลจะวัดผลที่เป็นรูปธรรมภายในวันที่ 1 ก.ย.นี้ โดยขอให้ กอ.รมน. ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในด้านความมั่นคงภายใน สนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงกลาโหม ร่วมกันจัดหาสถานที่บำบัดให้เพียงพอ และร่วมกันในการปลูกฝังค่านิยมคุณค่าใหม่ “เด็กและเยาวชนต้องไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด” พร้อมกับสร้างการมีส่วนร่วม และความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเพื่อขจัดปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทย
@@@…….กองทัพบก….พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูต หว่อง เสี่ยว ผิง แคเทอรีน เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ในโอกาสเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการทหารบกเพื่อแนะนำตัวและหารือข้อราชการ โดย ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง นับเป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น
@@@…….ที่ผ่านมากองทัพบกไทย-สิงคโปร์ มีความร่วมมือทางทหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนที่นั่งในหลักสูตรการฝึกและศึกษาในหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตรเสนาธิการทหารบก หลักสูตรผู้เชี่ยวชาญแพทย์ฉุกเฉิน หลักสูตรนักเรียนนายร้อย และหลักสูตรนายสิบทหารบก อีกทั้งกองทัพบกไทยให้การสนับสนุนที่นั่งการศึกษาในหลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบกแก่กองทัพบกสิงคโปร์เป็นประจำทุกปี นอกจากนี้มีความร่วมมือในการฝึกร่วม/ผสม ในรหัสต่างๆ อาทิ Cobra Gold, Flash Thunder, Kocha Singa, Cope Tiger เป็นต้น
@@@……กองทัพเรือ…..พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้โอวาทพร้อมมอบของที่ระลึกแก่เยาวชนโครงการรวมใจไทยเป็นหนึ่งกองทัพเรือ ประจำปี 2567 รุ่นที่ 3/67 สำหรับโครงการรวมใจไทยเป็นหนึ่ง กองทัพเรือ ได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และเสริมสร้างทัศนคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมทั้งปลูกฝังความรักชาติและความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยให้แก่ คณะเยาวชนและคณะผู้นำศาสนา (ดาอี) ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติงานของ หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ ได้แก่ อ.บาเจาะ อ.ยี่งอ อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งได้เดินทางมาทัศนศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ด้านศิลปะวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ของกองทัพเรือ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ให้การสนับสนุน โครงการฯ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 และมัสยิดยามีอุลค็อยรียะห์
@@@……ในปีงบประมาณ 2567 นี้ กองทัพเรือได้นำเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ เปิดโลกทัศน์และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเดินทางไปทัศนศึกษา ทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนเยี่ยมชมหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานของกองทัพเรือ เพื่อปลูกฝังความรักชาติ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้น ได้รับความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า เห็นถึงการอยู่ร่วมกันที่ทุกฝ่ายได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขท่ามกลางความหลากหลายของศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนยึดมั่นในประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมกัน อีกทั้งยังจะได้รับทราบถึงภารกิจในการป้องกัน และพัฒนาประเทศของกองทัพเรือ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ได้เห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมของกองทัพเรือเป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับเป็นพลังและแรงใจสำคัญที่จะก่อให้เกิดการประสานความร่วมมือกัน ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสันติวิธีและยั่งยืนต่อไป
@@@……กองทัพอากาศ…นาวาอากาศเอก ณัฎฐ์ คำอินทร์ ผู้อำนวยการกองฝึกร่วมและผสม สำนักยุทธการและการฝึก กรมยุทธการทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม ฯ ฝ่ายกองทัพอากาศ และ นาวาอากาศเอก ฮาสฟา นิซาม บิน อับดุล ฮามิด ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม ฯ ฝ่ายกองทัพอากาศมาเลเซีย เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการฝึกผสม AIR THAMAL 32/2024 โดยมีเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศ และเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศมาเลเซีย เข้าร่วมพิธีฯ ณ จังหวัดชลบุรี นอกจากกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกจากทั้งสองชาติ ได้เพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์ และขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ ตลอดจนมีความเข้าใจในขั้นตอนการปฏิบัติทางอากาศร่วมกันแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศมาเลเซียให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นำไปสู่ความร่วมมือที่เข้มแข็งในการดูแลประชาชน และความมั่นคงในภูมิภาค.
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”