วันก่อนเข้าร่วมประชุมกับ คณะอนุกรรมาธิการศาสนา ที่ประชุมแจ้งว่า ได้รับโจทย์จาก “พระผู้ใหญ่” ระดับกรรมการมหาเถรสมาคมรูปหนึ่ง ให้ช่วยหามาตรการป้องกันพฤติกรรมพระภิกษุบวชใหม่ที่มีพรรษาต่ำกว่า 5 พรรษา ช่วยหาทาง “กำชับ” พระอุปัชฌาย์ช่วยดูแลสอดส่องพระภิกษุบวชใหม่กลุ่มนี้ด้วย
“เปรียญสิบ” คิดในใจว่า “โยนขี้ให้โยม” แท้ ๆ แค่เรื่อง “ที่ดินวัด” ที่ถาโถมมาให้คณะอนุกรรมาธิการศาสนาแก้ไขนี้ งาน “ล้นมือ” แล้ว ทั้งลงไปแก้ไขระดับพื้นที่ ทั้งนิมนต์เจ้าอาวาส เรียกหน่อยงานมาร่วมแก้ไขที่สภาฯ แต่ละสัปดาห์ไม่ต่ำกว่า 5 วัด
ในขณะที่ตลอดเดือนนี้ เห็นความผิดปกติของคณะสงฆ์เริ่มตั้งแต่ พระอ้วน ๆ ชื่อ “โอเดม่อน” อะไรสักอย่างนี่แหละ อบรมเด็กเปิดเพลงแร๊ปให้เด็กเต้น อันนี้ก็เพี้ยนไปจากการสอนให้มีสติ ตื่นรู้และเบิกบาน ตามหลักพุทธธรรมแล้วหมดสิ้น
เห็นวงการวัตถุมงคลมี “พระเกจิ” รูปหนึ่ง มีคนกลุ่ม “พุทธพาณิชย์” ผลิตขึ้น โดยมีรถรูปสีแดงอยู่ตรงกลาง ซึ่งก่อนหน้านี้คงให้ “พระเกจิ” รูปดังกล่าว ขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ทำการตลาดมาก่อน แล้วมาผลิตวัตถุมงคลดังกล่าวออกมา ซึ่งตรงนี้ในสายตามองด้วยความเป็นธรรมก็ “เพี้ยน” หนักกว่าเก่า พระเกจิดังกล่าวอายุก็มากแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาคนรอบข้าง น่าจะให้ท่านได้พัก สร้างภาพลักษณ์ให้ท่านให้เหมาะสมกับความเป็น พระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา ความเมตตาเป็นสิ่งดี แต่ต้องไม่มี โมหะ เข้าครอบงำสติ
แต่ที่ “เปรียญสิบ” ผิดหวังหนักมากคือ มีพระเถระผู้ใหญ่ระดับ “ราชบัณฑิต” และ พระวิปัสสนาระดับ “เจ้าคณะจังหวัด” รูปหนึ่ง ที่คนยกย่องทั่วประเทศ ทั้งภูมิความรู้และการปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ “เสียหลัก” ปรากฎภาพไปร่วมนั่ง “ปลุกเสก” ส่งผลให้พระหนุ่ม ๆ และชาวพุทธที่ยึดหลักพระวินัย มองว่าเป็นการส่งเสริม “พุทธพาณิชย์” โดยไม่รู้ตัว และทั้งอาจถูกมองได้เหมือนกันว่า “ลาภสักการะ” ครอบงำไปแล้ว ใช่หรือไม่!!
เสียดาย..สอนให้คนยึดหลักพระไตรปิฎก เขียนตำราสอนหลักธรรมหลายเล่ม สอนวิปัสสนา นั่งกรรมฐาน สอนยึดหลักสันโดษพอเพียงมาทั้งชีวิต มาเสียชื่อตอนใกล้เข้าโลง??
พวกเราคนเรียนบาลีท่องจำตั้งแต่เริ่มเรียนว่า ธุระของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือ คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ การไปนั่งปลูกเสกวัตถุมงคล กลายเป็นธุระของพระภิกษุตั้งแต่เมื่อไรมิทราบ..หรือเป็นตั้งแต่เห็นโยมถวายซองเงินตอนปลุกเสก
“หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” ทุกวันนี้คนเรียนบาลี คนทำงานให้พระพุทธศาสนา “ตกต่ำ” สู้บรรดาพวกที่ไปเสนอหน้า ถือย่าม เดินตาม “เจ้าปลุกเสก” ไม่ได้
จึงไม่แปลกใจ..ทุกวันนี้พระบวชใหม่หรือสามเณรตั้งใจเข้ามาบวชเรียนบาลี “หายาก” ยิ่งกว่า “สร้างโบสถ์ สร้างศาลา”
พวกพระนักปลุกเสก นักสร้างพระ ใช้ชีวิตหรู อยู่สบาย มีเงินหนา ทั้ง ๆ ไม่ได้เจริญรอยตามพระพุทธองค์
พูดแบบไม่เกรงใจคือพวกนี้ “อาศัยผ้าเหลืองหากิน” อาศัยพุทธองค์สร้างความมั่งคั่งให้ตนเองและบริวารแค่นั้น
การที่พระผู้ใหญ่ โยนขี้ให้คณะอนุกรรมาธิการศาสนาช่วยหาทางปกป้องกัน “พฤติกรรม” พระภิกษุที่ผิดไปจากหลัก “พระวินัย” ช่วยหาทาง “กำชับ” พระอุปัชฌาย์ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
“เปรียญสิบ” จึงบอกว่า “โยนขี้” ให้โยม ถูกพระด่าฟรี
ทั้ง ๆ ที่มีกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปมี “พฤติกรรม” ที่เป็นแบบอย่างไม่ดี มีพฤติกรรมเพี้ยน ๆ หลายอย่างที่ “พระหนุ่ม เณรน้อย” มองแล้ว “สวนทาง” กับกิจวัตรพื้นฐาน 10 ข้อของพระภิกษุ สวนทางกับ “พระวินัย” และ “ตำรา” ที่ร่ำเรียนกันอยู่ทุกวันนี้แทบทั้งสิ้น
แบบอย่างที่ดี ดีกว่าท่องจำตามตำรา “ร้อยเท่าพันเท่า” หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบ “เผาตำรา” ทิ้งเถอะ
“สมเด็จพระพุฒาจารย์” ในฐานะประธานฝ่ายปกครอง ของคณะสงฆ์ พระคุณเจ้าคิดอย่างไรครับ หากคิดไม่ออกลองไปปรึกษา “สมเด็จธงชัย” วัดเดียวกันดูสิครับ
เผื่อมีทางออก??
……………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ” : [email protected]