“เปรียญสิบ” ขึ้นเหนือมาหลายวันแล้ว มิได้มาทำข่าว “ครูบา” ที่สังคมกำลังค้นหาอยู่ ว่าเป็นพระรูปใดหรอก แต่ขึ้นมาพูดคุยกับพระภิกษุ ประชาชนและบรรดาข้าราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย
โดยเฉพาะ “นายอำเภอ” ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นอำเภอนำร่องในโซนภาคเหนือมี 5 อำเภอ 5 จังหวัด คือ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย, อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา, อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก, อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย และอำเภอสุดท้ายที่จะไปดูก็คือ อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก แต่ละอำเภอมีประเด็นเรื่องที่ควรเอาเป็นอย่างในการแก้ไขหรือ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แตกต่างกันออกไป แต่สุดท้ายเป้าหมายเหมือนกันคือ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดี กินดี มีชีวิตที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามที่ควรจะเป็น
ทุกอำเภอที่เข้าไปพูดคุยส่วนใหญ่ทุกพื้นที่ ยุคกระทรวงมหาดไทยที่ชื่อ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรดาข้าราชการมักเลือกเป้าหมายให้สัมภาษณ์ “พระภิกษุ” ด้วยทุกครั้ง และจากาการพูดคุยทุกครั้ง พระภิกษุระดับ “แกนนำ” ในอำเภอภูมิใจและดีใจที่ท่านได้มีโอกาสร่วมในการช่วยเหลือสังคม ทำงานเพื่อชุมชนแบบนี้
ในขณะเดียวกันทุกรูปเท่าที่พูดคุยบอกว่า ยุคปลัดท่านนี้ วัดหรือพระภิกษุสงฆ์ทำงานคล่องขึ้น ประสานงานกับนายอำเภอ ผู้ว่าฯ ท้องถิ่นง่ายขึ้น งบประมาณเมื่อวัดขอทำงานโครงการเพื่อส่วนรวม มักไม่ติดขัดเหมือนยุคก่อนๆ อันนี้ “เปรียญสิบ” ไม่ทราบข้อเท็จจริง…เพียงแต่พระคุณเจ้าเล่ามาแบบนี้ ก็เลยมาเล่าต่อ!!
“เปรียญสิบ” ลงพื้นที่ในลักษณะนี้ โดยไปพูดคุยกับชาวบ้าน แกนนำชุมชน พระสงฆ์ หรือแม้กระทั่งข้าราชการท่องถิ่น รอบนี้เป็นรอบที่ 7 แล้ว ครั้งหนึ่งจะตระเวณไป 4 ภาค ไม่ต่ำกว่า 10 จังหวัด ทำให้รู้ว่า ในต่างจังหวัดหลัก “บวร” คือ บ้าน วัด และ ราชการ เขายังจำมือกันแน่น โดยเฉพาะพระสงฆ์ ข้าราชการ
แกนนำชุมชนบอกว่า ทิ้งท่านไม่ได้ เพราะพระภิกษุ เป็นที่พึ่งได้เป็นอย่างดีในการขับเคลื่อนการทำงานให้กับชุมชนโดยเฉพาะด้านสาธารณสงเคราะห์
หลายชุมชน หลายอำเภอ หลายจังหวัด หากมีพระภิกษุเป็นแกนนำ ไม่จำเป็นต้องรองบประมาณแผ่นดิน เพราะบารมีของท่าน แค่เอ่ยปาก ประชาชนก็พร้อมจะถวาย อย่างเช่นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย, อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หรือแม้กระทั่งอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พื้นที่เหล่านี้เรื่องการช่วยเหลือประชาชน เรื่องสาธารณสงเคราะห์ การทำงานของคณะสงฆ์โดดเด่นมาก
เสียดายว่า…พื้นที่สื่อ เวทีการแสดงออก สื่อสารสาธารณะไม่เป็น ผนวกกับจริตพระสงฆ์บ้านเรา ที่ทำงานแบบไม่ค่อยแคร์สังคม คือ ทำเพราะฉันอยากทำ ทำเพราะใจรัก ทำเพราะเมตตา บางครั้งไปมีพลังพอไปกลบข่าวฉาวๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมสงฆ์บ้านเราบ่อยครั้งในยุคนี้
หวังจะพึ่งโยม ยุคโลกทุนนิยมแบบนี้ โยมที่มีใจรักพระพุทธศาสนา โยมที่มีใจรักษาพระสงฆ์ หรือโยมที่ทำงานเพื่อส่วนรวม ลดน้อยถอยลงทุกวัน เพราะระบบเศรษฐกิจมันไม่อำนวยให้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา
บางคนยอมถวายเงินที่หามาด้วยความยากลำบาก เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อบำรุงเนื้อหนาบุญ สุดท้ายทำให้พระเสียพระก็มี??
เรื่องแบบนี้ฆรวาสเวลาทำบุญก็ต้องดูบ้าง มิใช่เจอพระพูดหวาน พระหน้าตาดี บวชไม่กี่พรรษา ภูมิต้านอะไรก็ไม่มี เจอญาติโยมศรัทธา เข้าหามาก
นึกว่าตนเองแน่ นึกว่าตนเองเก่ง อาจหลงระเหลิงหลุดจากความเป็นพระภิกษุได้นะจ๊ะโยมจ๋า
……………
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]