การกลับหวนคืนสู่ “ผ้าเหลือง” ของอดีตพระพรหมสิทธิและพระอีก 4 รูป “เปรียญสิบ” ในฐานะสื่อมวลชนเกาะติดมาต่อเนื่อง หากไม่ “มั่นใจในความบริสุทธิ์” ของตัวเองและไม่ได้รับ “ไฟเขียว” จากชนชั้นอำนาจ “อดีตพระพรหมสิทธิ” คงไม่ผลีพลามห่มจีวรอีกครั้งแน่แท้
แปลว่าครั้งนี้ท่าน “มั่นใจเต็มร้อย” ว่าไม่มีความผิดทั้งในทางพระวินัยและกฎหมาย
ยิ่งภายในงาน “เจริญชัยมงคลคาถา” การหวนคืนสู่ผ้าเหลืองในครั้งนี้ แหล่งข่าวเล่าว่า “ล้วนแต่มีผู้หลักผู้ใหญ่” ระดับที่สังคมรู้จักและมีนักกฎหมายหลายท่าน บางท่านทำงานใกล้ชิดกับบุคคล “ชนชั้นอำนาจ” ด้วย
สัญญาณระดับนี้หน่วยงานหรือบุคคลที่ “ร่วมกันก่อบาป” แน่นอน “กินไม่ได้ นอนไม่หลับ” คงต้อง “ออกโรงแก้เกี้ยว” เอาคืนแบบ “วัดพลังเอาเป็นเอาตาย” ไปข้างหนึ่งแน่นอน
แต่เชื่อเถอะ!! พระเถระเหล่านี้บวชมานานคงมี “ความเมตตา” เป็นที่ตั้ง ไม่ฟ้องกลับแน่
“วงการคณะสงฆ์” ตั้งแต่พระมหาเถระระดับมหาเถรสมาคม 3 รูป ถูกดำเนินคดี “ซบเซา ว้าเหว่และโดดเดี่ยว” มาหลายปี ไม่รู้จะไปพึ่งใคร โชคดีช่วงเวลานี้ “สมมติเทพมาโปรดต่อเนื่อง”
“เปรียญสิบ” ภูมิใจทุกครั้งที่เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ โปรดเกล้า ฯ สมณศักดิ์ หรือพระราชทานสิ่งของ-พระบรมราชูปถัมภ์ภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ทั้งในสนามสอบบาลีและวัดวาอารามต่าง ๆ ที่พระภิกษุ-สามเณรอาศัยเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก
@ ความอบอุ่นใจเกิดขึ้นในหมู่คณะสงฆ์แล้ว เมื่อพระมหาเถระทั้งอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระพรหมสิทธิ กลับมาครองผ้าเหลือง สัญญาณชัดว่า ประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราช คุ้มครองคนดีอยู่จริง ๆ
หลังจากหลายปีมานี้ วัดถูกรื้อ สำนักสงฆ์ถูกทุบ พระถูกไล่ออกจากป่า และพระสงฆ์ถูกเหยียดหยาม กระทบต่อความศรัทธาและมั่นคงพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประชาชนชาวไทย “ลองหลับตาตั้งสติ” การทุบวัด ไล่พระออกจากป่า หรือแม้กระทั้ง “จับกุมพระสงฆ์” ระดับมหาเถรสมาคม “มีอะไรส่งผลดี” ต่อประเทศไทยและวงการศาสนาบ้าง
และสิ่งนี้ไม่ส่งผลดีต่อ “สถาบันหลักของชาติ” เลยโดยเฉพาะสถาบันสงฆ์และในฐานะสถาบันสงฆ์เป็นสถาบันหลักของชาติ ในการ “สร้างความชอบธรรม” สถาบันที่เป็นตัว “พีอาร์” ที่ดีมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำว่า “พระโพธิสัตว์ -สมมติเทพ” โดยมี “ทศพิธราชธรรม” เป็นตัวกำหนดและกำกับ ล้วนมาจาก “สถาบันสงฆ์” แห่งนี้
สิ่งนี้ “คนต่างศาสนาและคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่” อาจไม่รู้ เพราะมันคือ “หลักธรรม” ที่ร้อยรัด เพื่อสร้าง “ความมั่นคง” และ “สร้างความรู้รักสามัคคี” ให้คนในชาติ โดยอาศัย “หลักธรรม” ที่เป็นนามธรรมที่เป็นเรื่อง “จิตใจและศรัทธา” เป็นตัวนำ มิใช่ร้อยรัดด้วย “กฎหมาย”
เสียดายชนชั้นอำนาจ “คิดไม่ออก” คิดว่า “สถาบันสงฆ์ล้าหลัง ล้าสมัย” สุดท้ายปัจจุบันคุมไม่อยู่ เด็กและเยาวชนจำนวนมากมอง “สถาบันหลักของชาติ” ล้าหลังและเชยไม่ทันสมัย
แต่ “เปรียญสิบ” อาศัยผ้าเหลืองบวชเรียน ถูกอบรม สั่งสอนและใส่กระหม่อมเรื่องเหล่านี้มาหลายสิบปี ยิ่งกว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใด ๆ
ครั้งหนึ่งจึงเคยบอกกับ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ว่า ระบบสมณศักดิ์ ยกเลิกไม่ได้ เพราะมันคือ “สิ่งเชื่อมโยงที่ดีที่สุดระหว่างสถาบันสงฆ์กับพระมหากษัตริย์”
และ “สมณศักดิ์” นี่เองคือ “ตัวแทน” ของพระมหากษัตริย์ในการให้พระภิกษุสงฆ์ ทำงาน “ต่างพระเนตร-พระกรรณ”
โชคดี “กลุ่มบุคคล” เหล่านี้ “หยุด” ไม่ดันทุรังต่อ
การกลับคืนสู่ “ผ้าเหลือง” ของอดีตพระพรหมดิลก แล อดีตพระพรหมสิทธิ รวมทั้งรูปอื่น ๆ
นอกจากสร้างความ “ดีใจและอุ่นใจให้” กับชาวพุทธและคณะสงฆ์แล้ว ยังได้เกิด “ขวัญและกำลังใจ” ในการขับเคลื่อนพระพุทธศาสนาในภาพรวมของคณะสงฆ์ด้วย
คำพูดของสมเด็จเกี่ยว อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ยังก้องอยู่ในหูว่า “พุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด”
การคืนสู่ผ้าเหลืองของอดีตพระพรมสิทธิและลูกวัดอีก 4 รูป ในทาง “พระวินัย” และ “กฎหมาย” มีผู้อธิบายมามากแล้ว ทั้งราชบัณฑิต ศ.พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ และ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ว่า พระมหาเถระเหล่านี้ “ไม่มีความผิด” ในคดีเงินทอนสำนักงานพระพุทธฯ
หวังว่าทั้งคำอธิบายในหลักพระวินัย รวมทั้ง สัญญาณชัด ๆ แบบนี้ “กลุ่มบุคคล” หรือ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” คงรับรู้ได้
แต่หากคิดจะ “วัดพลัง” กันต่อ หากมีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง “คนหน้าฉากและคนหลังฉาก” โปรดจงรับผิดร่วมกัน!!
…………………………………
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย …“เปรียญ10” : [email protected]