เห็นระดับมหาเถรสมาคม เล่นงาน อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เห็น มหาไพวัลย์ กับ พุทธอิสระ ทะเลาะผ่านสื่อ เรื่องขนม “อาลัว” รูปพระพุทธเจ้า
ในฐานะชาวพุทธ หดหู่ ใจ จริง ๆ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” พร่ำสอนให้สังคมรู้รักสามัคคี มีสติ สัมปชัญญะ แต่กลับ “ไร้สติ” ไม่นำคำสอนของพระพุทธเจ้า “ใส่กะโหลก” กันบ้างเลย สงสาร “สมณโคดม” และ “เสียดายข้าวสุก” ที่ชาวบ้านประเคนให้กิน
ยิ่งฟัง มิตรสหายท่านหนึ่งเป็นถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค บ่นถึงมหาเถรสมาคม ที่ลงมติว่า อดีตพระเงินทอนวัดมีความผิดนั้น เป็นความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยต่อวงการพระพุทธศาสนาบ้านเรา พระพุทธเจ้าวางหลัก “พระวินัย” เป็น “เกราะป้องกัน” คณะสงฆ์ เพื่อไม่ให้ “การเมืองยุคพุทธกาล” มาบ่อน “ทำลายคณะสงฆ์” ของพระองค์แท้ ๆ หากมีคดีอะไรเกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ ก็ควรแต่งตั้ง “พระวินัยธร” สอบสวนให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยชี้มูลความผิด
แต่นี้ “ดันสนองกิเลสตัวเอง” ไปใช้ หลักกฎหมาย ไปทำลาย พระวินัย ที่เป็นเกราะป้องกันสังคมสงฆ์อย่างดียิ่ง แบบไม่น่าให้อภัย อนาคตพระสงฆ์บ้านเรา คงอยู่กันลำบากมากยิ่งขึ้น
เพราะมหาเถรสมาคมชุดนี้เป็นแน่แท้..
ต่อไปคณะสงฆ์ไม่ต้องไปสวดทบทวนแล้วพระปาฎิโมกข์..ให้หันไปสวดทบทวนกฎหมายแทน จะได้ไม่ทำความผิด
ต่อไป พระหนุ่มเณรน้อย อยากเติบโตเป็นใหญ่ในคณะสงฆ์ ไม่ต้องเรียนอะไร ให้มุ่งปลูกเสก เจิมหน้าผาก ดูหมอ สะสมเงินทองเยอะ ๆ วิ่งหาศูนย์อำนาจ “ยุคนี้การศึกษาบาลี” ช่วยอะไรไม่ได้
ยิ่งเห็น “กรรมการมหาเถร” บางรูปไม่ฟังเสียงพวกเดียวกัน ไม่ฟังเสียงกระแอม เสียงเตือนจากฝ่ายนิติบัญญัติ มันสะท้อนสภาพชนชั้นไพร่ที่ส่วนใหญ่มาจากชนบทได้เป็นอย่างดี ทำนองสุภาษิตไทยที่ว่า “วัวลืมตีน” หรือ “คางคกขึ้นวอ”
พระสงฆ์เราเมื่อมีสมณศักดิ์สูงมีตำแหน่งทางปกครอง ซึ่งเป็นตำแหน่ง “การเมือง” มักมากมักถูก “จิตฆราวาส” ครองงำอยู่เสมอ ๆ ไหลไปตามกิเลส ควบคุม “สติ ใจและปาก” ไม่ได้
ยุคนี้..สังคมสงฆ์ไม่ได้เคารพกันด้วยหลักพระวินัยคืออายุพรรษาแล้ว แต่เคารพและวัดกันด้วย สมณศักดิ์ และ ตำแหน่งทางปกครอง
ยิ่งเห็น “สังฆบิดร” ไม่ลงมาแก้ปัญหา ไม่ร่วมประชุม เหมือน “หนีปัญหา” ยิ่งสังเวชใจ ว้าเหว่าใจ ต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาและสังคมสงฆ์บ้านเรา
ยุคมืด “วงการคณะสงฆ์” แท้ ๆ
สิ่งเหล่านี้คือ “คำบ่นและความน้อยใจ” ชาวพุทธผู้เป็นกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง
แต่สำหรับ “เปรียบสิบ” เฉย ๆ เพราะหากนับอายุของกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป 60 ปีขึ้นไปทั้งนั้น
“เปรียญสิบ” แค่ 40 กว่า ๆ ยังมีเวลา “รอดู” วันที่ “หอก” ที่พวกท่านวางบรรทัดฐานเอาไว้ จะกลับมา “ทิ่มแทงและคืนสนอง”
เพราะดันไปให้กฎหมายเป็นใหญ่กว่าพระวินัย ที่พระพุทธเจ้า วางระบบเป็นเกราะป้องกันสังคมพระสงฆ์เอาไว้..
“สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน” แท้ ๆ ….พี่น้องฆ่ากัน เพื่อนฆ่าเพื่อน เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ ชาวพุทธทะเลาะกันผ่านสื่อ ก็แค่เพื่อเอาใจ “แฟนคลับ” มันสะท้อนนิสัยใจคอ สันดานพุทธไทย “ชนชั้นขี้ข้า” ชนชั้น “ตัวแทนแนวคิด” ไม่มีหลักการ ได้ดีแท้ ๆ
เห็นแบบนี้แล้ว..ไม่แปลกที่พุทธไทยรอวันล่มสลาย “ต่างศาสนาขยายศาสนจักร” ได้ง่ายยิ่งกว่า “ปอกกล้วยเข้าปาก”
เพราะ!!ชาวพุทธส่วนใหญ่ทั้งพระและโยม ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองเท่านั้น ไม่คิดอะไรเพื่อสร้าง “ความเจริญและความมั่นคง” แก่พระพุทธศาสนาและสังคมสงฆ์ อะไรเลย
ติดสันดาน..ดีแต่พูด เอาแต่ได้!!
………………………….
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย …“เปรียญสิบ” : [email protected]