กิระ..ดังได้ยินมาลอย ๆ ว่า ตอนนี้อดีตพระเถระ 5 รูปแห่งวัดภูเขาทอง “ฟ้อง” ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วว่า “มติมหาเถรสมาคม” ที่ฟันธงว่า “อดีตพระเถระทั้ง 5 รูปพ้นจากความเป็นพระภิกษุ” นั้น เป็นมติที่ออกโดยมิชอบ เร่งรัดสรุป ไม่รับฟังความเห็นของผู้ถูกกล่าวหา
ทำให้ทั้ง 5 รูป เสียหาย และทั้งทนายความส่งหนังสืออุทธรณ์ มติ มส. ไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า เป็นมติที่ออกโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกกล่าวหาอีกทางหนึ่ง
วงการคณะสงฆ์..พระพุทธศาสนา ยุคนี้บรรลัย เสื่อมเสียชื่อเสียงที่สุด
@ บรรลัย ตามพจนานุกรมแปลว่า ย่อยยับ, ฉิบหาย, วอดวาย, มอดม้วย, ป่นปี้, สูญหมด
มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ..
“มหาเถร” ยุคนี้จะย่อยยับ!! ก็เพราะไปเชื่อฟังฆราวาสมาก โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับอดีตพระเถระผู้ถูกกล่าวหา “คดีเงินทอนวัด” คนสงสัยทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ทำไมมหาเถรไม่เรียกคู่กรณีมาชี้แจงหรือตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงก่อน
กิระ ดังได้ยินมาอีกว่า ความจริงเรื่องนี้ มีกรรมการมหาเถรสมาคมผู้ยิ่งใหญ่ 2 รูป ฝากคนไปเตือน อดีตพระเถระแห่งวัดสระเกศแล้วว่า “ให้อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวจะคลี่คลายเอง…”
แต่ดันผิดคิว..เพราะมีข่าวลือหนาหูว่า ฝ่ายราชการเมื่อมีมติ มส. ออกมาแล้ว “มติ” มันคือ “คำสั่ง” เอกสารมันต้องเดิน..ไปฟ้องดำเนินคดีกับอดีตพระเถระเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนี้ข้อจริงเท็จ..ประการใด “เปรียบสิบ” ไม่ทราบ แต่เพียงแค่ได้ยินมาแว่ว ๆ อาจเป็นแค่ข่าวลือ..มิใช่ข่าวจริง
มีข่าวว่า..ทนายของอดีตพระเถระคดีนี้ กำลังจะฟ้องดำเนินคดีตาม ม. 157 ทั้งยวง
แต่หากเป็นจริง..กรรมการมหาเถรสมาคมที่ร่วมรับรองมติวันนั้น..เตรียมขึ้นโรงขึ้นศาล ชีวิตต่อจากนี้ไป ไม่สุขอีกแล้วนะพระคุณเจ้า!!
เหมือนกับอดีตรัฐมนตรีหลายคน ร่วมรับรองมติคณะรัฐมนตรี ทุกวันนี้ก็ยังต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ชี้แจงกับ ป.ป.ช.บ้าง ศาลบ้าง เนือง ๆ
ส่วนผอ.สำนักงานพุทธคนปัจจุบัน ในฐานะคนชงเรื่อง จะเกษียณวันที่ 30 ก.ย.นี้แล้ว หากถูกฟ้องดังข่าวลือจริง..ชีวิตหลังเกษียณไม่สุขดังความฝันของข้าราชการหลายคนเช่นเดียวกัน
มติมหาเถรสมาคม ออกโดยมิชอบ อย่างไร!! “เปรียบสิบ” ผู้มีปัญญาน้อยเรื่องพระวินัย ขออธิบายย่อ ๆ ว่าออกโดยมิชอบ เพราะ มิได้เป็นไปตามพระวินัย ผิดพลาดประการใดข้อให้ผู้รู้ให้อภัยด้วย การพ้นจากพระภิกษุ มี เหตุ 2 ประการ
กรณีที่ 1 เป็นเรื่องที่พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ได้แก่ การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การฆ่าคนตาย และการอวดอุตตริมนุสสธรรม เช่นนี้ย่อมขาดจากความเป็นพระโดยพลันทันที แม้ไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขา
กรณีที่ 2 เป็นความสมัครใจของพระภิกษุเอง เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายการครองเพศบรรพชิตและการบำเพ็ญสมณธรรม ด้วยการเปล่งวาจาลาสิกขาต่อหน้าพระภิกษุ หรือบุคคลอื่นผู้รู้ความ
@มติมหาเถรสมาคม ออกโดยมิชอบว่าด้วย “พระวินัย”
เพราะกรณีนี้มหาเถรสมาคม ไม่ดำเนินการตามอำนาจในพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 คือ มหาเถรสมาคมจะต้องดำเนินการ ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 พ.ศ. 2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม คือ
เมื่อมีผู้ฟ้อง กรณีนี้ผู้ฟ้องคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อมหาเถรสมาคมพิจารณาว่ามีมูล ก็ต้องตั้งคณะกรรมการฝ่ายพระสงฆ์ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11 พ.ศ.2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรมหากเห็นว่าคำฟ้องมีมูลก็สั่งประทับรับฟ้อง แล้วก็ต้องดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมต่อไป ซึ่งกระบวนการนี้พิจารณาวินิจฉัย คล้ายกระบวนการในศาลทางโลกมีสามชั้น คือ ชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา
@มติมหาเถรสมาคม ออกโดยมิชอบว่าด้วย “กฎหมาย”
เมื่อติดกระดุมเม็ดแรกมันผิด..มันก็ผิดพลาดไปเรื่อย ตามข้อมูลที่อ่าน ๆ และฟังมาคือ เมื่อตำรวจจับพระเถระ 5 รูปไปแล้ว มันต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 มาตรา 29 และ 30
มาตรา 29 พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
มาตรา 30 เมื่อจะต้องจำคุก กักขังหรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการ (หมายถึงเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์) ให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น
แต่ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ตามมาตรา 29 และ 30 ไม่ได้ดำเนินการให้อดีตพระเถระเงินทอนวัดให้สึกหรือสละสมณเพศแต่ประการใดไม่.
หากไม่เชื่อ…มหาเถรสมาคมเรียกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์มาสอบถามได้ หรือให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลองถามเจ้าหน้าที่ตัวเองดูก็ได้ว่า วันนั้น เห็นพระคุณเจ้าเหล่านี้เปล่งวาจาสึก, เจ้าหน้าที่จับสึกหรือ มีพระมาประกอบพิธีอะไรให้หรือไม่ เพื่ออ้างเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้..เพราะเท่าที่ทราบ เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและกรมราชทัณฑ์บอกว่า ไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายและแม้แต่ศาลท่านก็ยังเรียกว่า อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป นี่ว่า พระภิกษุ อยู่
เอาเป็นว่ากรรมการมหาเถรสมาคมอย่าเครียด ในฐานะพระคุณเจ้าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เตรียมข้อมูลไว้ดี ๆ เพราะมาตรา 157 มันเป็นเรื่องกฎหมายบ้านเมือง มันต้องขึ้นศาลทางโลก หากเลวร้ายจนถึงต้องขึ้นศาลก็อย่าพึ่งแต่อัยการทนายแผ่นดินยังเดียว เตรียมหาทนายวัด ทนายส่วนตัวไว้ด้วยก็ดี
ส่วน คุณพี่ณรงค์ ทรงอารมณ์ ชีวิตหลักเกษียณ หากถูกฟ้องตามข่าวลือที่ได้ยินมาจริง ชีวิตคงไม่สุขสบายแล้ว แต่ไม่เป็นไร หากกลับไปอยู่บ้านเกิดราชบุรี มันก็อยู่ใกล้ ๆ กับกรุงเทพ คงไม่ยากเย็นประการใดที่จะมาขึ้นศาล คิดบวกเอาไว้รับใช้พระพุทธศาสนามาหลายสิบปี บุญกุศลคงคุ้มครองบ้างละหน่า??
ส่วนมติมหาเถรสมาคมที่ออกไป “กรรมการมหาเถรบางรูป” ก็อย่าใจร้อนไปเร่งรัดเจ้าหน้าที่เขามาก ยิ่งทนายความคู่กรณี ไปฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดินแบบนี้ แปลว่า มติตัวนี้มีปัญหา เจ้าหน้าที่รัฐเขา..จะเดินต่อไปไม่ได้
สำหรับกรรมการมหาเถรสมาคม ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมวันนั้น ก็สบายใจได้..มีหลายรูปทั้งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมและราชบัณฑิต..
…………………………………..
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย …“เปรียญสิบ” : [email protected]