ใครตามการเมือง คงรับรู้ความเคลื่อนไหว พรรคก้าวไกล (กก.) ซึ่งมีรากฐานมาจาก อนาคตใหม่ (อนค.) ที่ยืนเคียงม็อบราษฎรมาตลอด กับเป้าหมายเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน แม้กระทั่งเวลานักเคลื่อนไหวใช้สัญลักษณ์ชู “สามนิ้ว” ที่มีปัญหาด้านคดีความ เราจะเห็นภาพส.ส.จากพรรคก้าวไกล เข้าไปช่วย เรื่องคดีความ และ ประกันตัวอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นเมื่อพรรคก้าวไกลประกาศนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดนโยบาย “การเมืองก้าวหน้า” ในการรณรงค์หาเสียงหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะใครก็เห็นตรงกัน พรรคการเมืองที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” รับบทหัวหน้าพรรค และ “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นเลขาธิการพรรค คงหวังฐานเสียงจากคนรุ่นใหม่ ที่ชอบแนวความคิดพรรคก้าวไกลที่กล้าคิด ในสิ่งที่สวนทางกับจารีตขนบธรรมเนียมประเพณีแผ่นดินสยาม
ขณะที่ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ ม.112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ย้อนไปเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา “รังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาแถลงนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้าในหมวดศาลและกระบวนการยุติธรรม โดยจะเริ่มจาก การปฏิรูปศาล ให้ยึดโยงรับใช้ประชาชน ให้ผู้พิพากษาต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน และแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แก่ กฎหมายอาญา มาตรา 112 มาตรา 116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พรรคได้เสนอแก้ไขไปแล้ว ร่างแก้ไขชุดกฎหมายถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาฯแล้ว
ยกเว้นร่างแก้ไข กฎหมายมาตรา 112 ที่สภาฯ ไม่ยอมบรรจุเข้าวาระ อ้างว่าขัดรัฐธรรมนูญ (รธน.) แต่พรรคยืนยันจะเดินหน้าผลักดันต่อไปหากได้เป็นรัฐบาล “ขอย้ำว่าการแก้ 112 ไม่ขัดรธน. ไม่ได้กระทบต่อพระราชสถานะองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศ”
นอกจากนี้ยังมี นโยบายการนำรัฐบาลไทยให้สัตยาบันรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เพื่อชำระสะสางคดีอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อประชาชน เช่น เหตุการณ์สังหารหมู่คนเสื้อแดง ในปี 2553 รวมถึงโศกนาฏกรรมตากใบ และป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมเช่นนี้อีกในอนาคต ยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลที่เกาะกินประเทศไทย และข้อเสนอใหญ่ที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ การนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เพื่อคืนความเป็นธรรมและอนาคตให้กับประชาชนที่ต้องคดีการเมือง เพียงเพราะแสดงความเห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน
ต้องถือ เป็นความกล้าหาญของพรรคก้าวไกล เพราะนโยบายที่ประกาศออกมาแตกต่างจากทุกพรรคการเมือง ท้าท้ายความรู้สึกของคนบางกลุ่ม องค์กรหลักในบ้านเมือง และสถาบันสำคัญที่สุดในประเทศ ซึ่งต้อง รอบทพิสูจน์ในการเลือกตั้ง วัดใจประชาชนจะให้การต้อนรับหรือไม่ แต่ถ้าประเมินจากท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ แทบทุกพรรคคัดค้านแนวทางของพรรคก้าวไกล ไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วย
จนมีคำถามตามมา ถ้าพรรคก้าวไกลได้เสียงมากที่สุดในการเลือกตั้ง แต่ไม่เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร (250 เสียง) จะหาพันธมิตรทางการเมือง มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ แม้กระทั่ง พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะเพื่อนร่วมงาน “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ก็ยังไม่กล้าแสดงจุดยืน ที่เกี่ยวของกับการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112
“สุทิน คลังแสง” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นจุดยืนของแต่ละพรรค ไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ อยู่ที่ประชาชนจะพิจารณาแล้วตัดสินใจ เข้าใจว่าแต่ละพรรคได้ศึกษามาดีแล้วถึงประกาศเป็นนโยบายออกไป
สำหรับพรรคเพื่อไทย เราทำนโยบายทุกด้าน แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องเร่งด่วนที่สุด คือเรื่องเศรษฐกิจปากท้องประชาชน และ ความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดกับสังคมไทย
ส่วน “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล เตรียมเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อใช้เป็นนโยบายหลักในการเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ตนและพรรค ยืนยันมาตลอดว่า แนวทางเราเป็นแบบกลางๆ ถามว่าบุคคลธรรมดา รธน.ยังปกป้องไม่ให้ใครมาทำร้ายต่อร่างกายชีวิต และทรัพย์สินเลย ใครมาหมิ่นเรา เราก็ฟ้องได้ แล้วถ้ามา หมิ่นพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลยหรือ ดังนั้นยกเลิกไม่ได้ ใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ต้องมีโทษเหมือนกัน แต่ตนเห็นว่าควรมีการปรับในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น ไม่ใช่ใครก็ไปแจ้งความได้ ควรให้ตัวแทนจาก สำนักพระราชวัง ดำเนินการ หรือลดจำนวนปีในการรับโทษติดคุกลงมา เป็นต้น
ขณะที่บรรดา พรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมาแสดงจุดยืนคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับแนวทางพรรคก้าวไกล ไล่ตั้งแต่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรี และหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่พูดชัดว่า การแก้มาตรา 112 พรรคปชป.ไม่เอาด้วย จะแก้รธน.ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ปชป.เราเห็นด้วย แต่ต้องไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2 และ ไม่แก้มาตรา 112 ซึ่งเหตุผลมันมีชัดเจนว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่มีบทคุ้มครองประมุขของตัวเอง
ไม่ว่าจะปกครองด้วยระบอบไหน ก็มีบทคุ้มครองประมุขของตัวเองทั้งนั้น ประเทศไทยก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า เราผิดแผกแตกต่างไปจากประเทศอื่น เพราะฉะนั้นมาตรา 112 เป็นมาตราที่มีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองประมุขของประเทศไทย
ด้าน “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกมายืนยันแล้วว่า “ภท.” ไม่มีนโยบาย ไม่มีความคิดเรื่องแก้ไข มาตรา112 หากใครคิดแก้ ก็จะคัดค้าน ขัดขวางให้ถึงที่สุด และจะไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคที่เสนอแก้มาตรา 112 โดยเด็ดขาด
แม้กระทั่ง “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) บอกว่า “เราจะไม่ไปยุ่งอะไรกับ มาตรา 112 เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่เห็นคนทั่วไปมีปัญหา อีกทั้งปัจจุบันขนาดบุคคลธรรมดา ยังมีคดีหมิ่นประมาท อยู่ในศาลตั้งหลายร้อย หลายพันคดี ซึ่งมาตรา 112 ไม่ใช่มาตราที่หาเรื่องใคร แต่ใช้เพื่อปกป้องสถาบันฯ อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย หากมีใครอุตริไปหาเรื่อง เราจะต้องมีอุปกรณ์ มีกฎหมายที่ ปกป้องสถาบัน ได้ มาตรา 112 มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เห็นใครมีปัญหา หัวเด็ดตีนขาด ก็ต้องมีมาตรา 112 รอให้ดินกลบหน้า ผมก็ไม่ยอมแก้มาตรา 112 แน่นอน”
ส่วน “ดร.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์” ส.ส.กทม. โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงว่า จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขมาตรา 112 ที่เป็นบทบัญญัติในการคุ้มครองประมุขของรัฐ เราชัดเจนมาโดยตลอดต่อการ เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยพรรคพปชร.จะยึดมั่นแนวทางนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เหลือแต่เพียง “พรรคพท.” เท่านั้น ที่ยังไม่แจกแจงท่าทีที่ชัดเจน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายที่มีไว้ เพื่อปกป้องสถาบัน หรือแกนนำพรรคฝ่ายค้านต้องการได้เสียงสนับสนุนจาก บรรดาเครือข่ายที่ เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน เพื่อตอกย้ำถึงชนะที่หวัง ถึงขั้นแลนด์สไลด์ แต่ไม่แน่ใจความหวังดังกล่าว จะเป็นเพียงหวังน้ำบ่อหน้า และไม่รู้ว่าน้ำในบ่อจะบริสุทธิ์จริงหรือไม่
ยิ่งรากเหง้าของพท. ทั้ง ไทยรักไทย (ทรท.) และ พลังประชาชน เคยถูกศาลรธน.มีมติยุบพรรคมมาแล้ว บรรดาแกนนำพท. และผู้มีอำนาจสั่งการอย่างแท้จริง คงไม่อยากเห็นชะตากรรมพรรคต้นสังกัด ต้องมีอันเป็นไปอีกครั้ง ยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับสถาบัน ดังนั้นการปล่อยให้ “พรรคก้าวไกล” เดินหน้าลุยไฟในเรื่องนี้ไปตามลำพัง น่าจะเป็นหนทางที่ดีทีสุด และอาจเป็นผลดี หากเกิดอุบัติเหตุกับเพื่อนร่วมงาน ในเมื่อการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
………………. คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”