ไม่น่าจะจบง่ายๆ หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ทำปืนลั่นในระหว่างการประชุมพรรคเพื่อไทย (พท.) เผลอหลุดพูดเรื่องฝากฝังการโยกย้ายแต่งตั้ง นายตำรวจระดับผู้กำกับ (ผกก.) จากสส.พรรคเพื่อไทย แม้จะออกมาปฏิเสธในช่วงต่อมา ยืนยันไม่ได้ดำเนินการเช่นนั้ แต่เรื่องคงไม่จบง่ายๆ เพราะฝ่ายค้านก็ต้องหาประเด็นหวังดิสเครดิต และนำจุดอ่อนมาโจมตีฝ่ายบริหาร
ด้าน “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ออกมาชี้แจงกรณีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บังคับการ (ผบก.)-สารวัตร (สว.)วาระประจำปี 66 ที่มีกระแสข่าว มีตั๋วจากนักการเมือง ว่า ตั้งแต่ยืนอยู่ในตำแหน่งตรงนี้ ยังไม่มีใครเอาตั๋วมา นายกฯไม่เคยโทรมา ยืนยันไม่มี สส.ไหนมาทั้งนั้น ตนเดินสายการเมืองมาหรือเปล่า เขาก็รู้ว่าขอตนไม่ได้ ไม่มีแน่นอน ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ เดี๋ยวผลออกมา ก็จะรู้ว่าตำแหน่งพวกนี้ เป็นการเมืองหรือไม่ เพราะว่า กรอบของนายพล ตนตั้งหลักกรอบไว้ให้แล้ว ได้มีการกำชับกับผู้บัญชาการ (ผบช.) ไปแล้วว่าในระดับนายพลทำกรอบไว้ให้แล้ว ให้เป็นไปตามกฎหมายมันบังคับ ทำอะไรไม่ได้ กระแสมันไปแบบนั้น ยืนยันเสร็จตามกรอบเวลา ภายในสิ้นเดือนนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในห้วงเวลานี้ อยู่ในช่วงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กำลังจัดทำโผบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทั่วประเทศในระดับ “รองผบก.-ผู้กำกับ” ตามกองบัญชาการ (บช.) ต่างๆ จนถึงสว.ทั่วประเทศ ที่เรียกว่า “โผรอง ผบก.-สารวัตร” โดยสั่งการให้บช.ต่างๆ ส่งโผบัญชีรายชื่อไปที่ตร. เพื่อจะได้เข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 29 พ.ย.นี้ โดยมีข่าวว่า ในส่วนของบช.ที่สังกัดสำนักงาน ผบ.ตร. มีการสั่งให้ส่งโผไปที่สำนักงาน ผบ.ตร. ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ “นายกฯเศรษฐา” ไปพูดในระหว่างการประชุมพรรคเพื่อไทย 1 วัน
อย่าลืม “เศรษฐา” เป็นนายกฯที่คุมตำรวจ และทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งต้องรับรู้ทุกความเคลื่อนไหวสำคัญๆ ของตำรวจ รวมถึงการส่ง “โผสีกากี” ไปที่สำนักงานกำลังพลตร. อีกทั้งเมื่อวันที่ 20 พ.ย. มีรายงานว่า “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ได้เดินทางไปพบนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกฯ ระบุว่า “มาคุยเรื่องงานความมั่นคง” ซึ่งดูในเงื่อนเวลาแล้ว ดูเหมือนจะสอดคล้องกันพอดี จึงไม่แปลกที่จะการวิพากษ์วิจารณ์คาดเดาว่า มีการล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายมีน้ำหนัก
ที่มาของเรื่องนี้ เกิดจากในระหว่างการประชุมพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา “เศรษฐา” ได้พูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทยว่า “ผกก.ใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่า คงมีผู้ผิดหวังมากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง แต่ก็เป็นผกก.ใหม่ ซึ่งเราจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กันให้เข้าใจถึงถ่องแท้ และต้องกำจัดปัญหานี้ออกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ”
ต้องยอมรับ “คำพูดของนายกฯ” ที่ถูกนำมา เปิดเผยต่อสาธารณชน และปรากฏเป็นข่าว ไม่ใช้เป็นการแอบถ่าย-ไม่ใช้เป็นเรื่องคลิปหลุด แต่เป็นการพูด ระหว่างการประชุมสส. โดยมีการเปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปถ่ายภาพ ทำข่าวในช่วงดังกล่าว ซึ่งปกติทางพรรคจะให้สื่อเข้าไปถ่ายเก็บภาพในช่วงแรกๆ โดยเฉพาะเวลา “เศรษฐา” และ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” เข้าร่วมประชุมด้วย
ซึ่งการหลุดคำพูดดังกล่าวออกมา ถูกวิจารณ์จากหลายฝ่าย เป็นการ “อ่อนหัดทางการเมือง” เพราะเพิ่งเข้ามาสัมผัสในแวดวงการเมือง หลังจากประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มาตลอดชีวิต
แม้วันต่อมา หัวหน้ารัฐบาลจะออกมาปฏิเสธ “ยืนยันไม่เคยมีสส.มาขอ” และไม่มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ เป็นหน้าที่ของตร.พิจารณาตามผลงาน แต่ถ้าแกะตามคำพูดที่หลุดเป็นข่าวออกมา ก็ต้องยอมรับว่า ถูกตีความได้ว่า มีสส.พรรคแกนนำรัฐบาลฝากฝังนายตำรวจให้ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งนายตำรวจเป็นระดับ ผกก. แปลความเป็นอย่างอื่นไปได้ยาก ดั่งสำนวนที่ว่า “ก่อนพูดเราเป็นนาย หลังพูดคำพูดเป็นนายเรา” ซึ่งจากนี้ไปคง ต้องรอดูฝ่ายค้าน และ บรรดานักร้อง จะหาหลักฐานมามาโน้มน้าวกระบวนการตรวจสอบ ให้เห็นว่ามีน้ำหนักเพียง ในการลงดาบนายกฯมากแค่ไหน
สำหรับ รัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 185 (3) ระบุไว้ว่า “ไม่ให้ สส.ก้าวก่ายหรือแทรกแซงทั้งทางตรง-ทางอ้อม ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ อีกทั้งอาจขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรธน. และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระฯ พ.ศ.2561 ที่ให้ใช้กับรัฐมนตรีและ สส.ด้วย จนสามารถถูกร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้”
อีกด้านหนึ่ง “ดนุพร ปุณณกันต์” โฆษกพรรคเพื่อไทย ต้องรีบออมาชี้แจงว่า ที่ประชุม สส.ทุกครั้ง แม้นายกฯอยู่หรือไม่อยู่ ก็จะมีการนำปัญหาในพื้นที่มาพูดคุยในที่ประชุม ว่าแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไร เช่น เรื่องหนี้นอกระบบ ที่นายกฯ จะคิกออฟวันที่ 28 พ.ย. เรื่องนี้เกิดจากการประชุม สส. ที่มีการยกประเด็นขึ้นมา โดยสส.อีสานยกเรื่องหัวปิงปอง ที่เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์เก็บดอกรายวันกับชาวบ้าน โดยต้นไม่ลด นายกฯเลยถามอยากให้ทำอย่างไร จนมีการระดมความคิดให้ผกก.ในพื้นที่ กับนายอำเภอ มาเรียกเจ้าหนี้ลูกหนี้มาคุยกัน เพื่อไกล่เกลี่ยตามสิ่งที่ควรจะเป็น
เรื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นทำนองเดียวกัน มีคนยกมือถามในที่ประชุม ว่ายาเสพติดเต็มเมือง พนันออนไลน์ อาละวาดเยอะมาก มีการยกประเด็นกันว่า ผกก.ในพื้นที่ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจรู้เห็นกับการกระทำผิดกฎหมายเหล่านี้ นายกฯก็รับเรื่องไปว่า จะส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า ผกก.หรือเจ้าหน้าที่คนไหนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมายบ้าง ถ้ามีก็ให้สอบสวนหรือโยกย้าย ซึ่งนายกฯรับเรื่องนี้ไปในการประชุม สส. วันที่ 21 พ.ย. ท่านก็กลับมาบอกว่า ส่งเรื่องไปหมดแล้ว ส่วนจะสมหวังหรือผิดหวังนั้นท่านไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ เพราะนายกฯ มีอำนาจเพียงเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนเดียวเท่านั้นเอง เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่การเข้าไปแทรกแซง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในการโยกย้ายแต่งตั้งนายตำรวจ ทุกยุคทุกสมัย มักมีข่าวว่า ฝ่ายการเมืองที่เข้ามามีบทบาทในฐานะฝ่ายบริหาร จะเข้ามามีอิทธิพลในการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะเชื่อว่า “ผู้รักษากฎหมาย” ซึ่งสวมบทเครื่องแบบสีกากีจะมีส่วนช่วยสร้างคะแนนนิยมของสส.และพรรคการเมือง และช่วงชิงความได้เปรียบในทางการเมืองได้ โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งต้องมีหน้าที่ดูแล ไม่ให้ผู้สมัครสส.ทำผิดกฎหมาย ดังนั้นใครที่เป็นฝ่ายบริหารมักจะหวังให้ผู้รักษากฎหมาย เอื้อประโยชน์ในทางการเมืองให้กับเครือข่ายของตนเองแทบทั้งสิ้น
ส่วน บทบาท “ฝ่ายค้าน” หลังเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว ก็จะใช้เวทีของ คณะกรรมาธิการฯ (กมธ.) เข้ามาขยายผล ในการตรวจสอบ โดย “ชัยชนะ เดชเดโช” สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะ ประธานคณะกมธ.การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 7 ธ.ค. กมธ.จะเชิญนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯมาชี้แจงต่อประเด็น ที่ระบุผ่านที่ประชุมสส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า มี สส.ขอแต่งตั้งตำรวจระดับ ผกก. หากประเด็นดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง ต้องชี้ชัดว่า สส.คนไหนที่เกี่ยวข้อง เพราะกรณีดังกล่าวจะถือว่า สส.แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราช ตามที่รธน. มาตรา 185(3) กำหนดเป็นข้อห้ามไว้
“ชัยชนะ” กล่าวด้วยว่า กรณีดังกล่าวถือว่าไม่ปกติ เพราะมีกติกาที่ห้าม สส. ฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย “สิ่งที่นายกฯพูดหากเป็นจริง เชื่อว่าพรรคพท.เดือดร้อนทั้งพรรค เพราะขัดต่อ รธน.มาตรา 185 (3) ขอย้ำว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน ที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารอยู่แล้ว หากมีหลักฐานชัดเจนเชื่อว่า จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ”
ด้าน “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่า ถ้าตอบคำถามว่า “ตั๋วเพื่อไทย” มันจะไซส์ไหนนั้น ขอจัดตั๋วเอาไว้ 5 ประเภท คือ 1.ตั๋วช้าง 2.ตั๋ว สร.1 คือโค้ดที่หมายถึงนายกฯ 3.ตั๋ว ผบ.ตร. 4.ตั๋วนาย สมมติผู้บังคับบัญชาจะย้ายไปที่ไหนจะหิ้วตำรวจคนสนิท 2-3 คนไปด้วย และ 5.คือตั๋วอื่นๆ บางที่มีพระสงฆ์ไปขอให้ก็มี หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเขียนขอกันโดยตรงก็มี
“รังสิมันต์” กล่าวต่อว่า ถ้าถามตนว่า “ตั๋ว สร.1” มันขนาดไหน มันเกือบจะที่สุด รองมาจาก “ตั๋วช้าง” ไม่รู้ว่า “ตั๋วเพื่อไทย” ในรอบนี้นายกฯทำแบบไหน วันที่ 7 ธ.ค. คณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ จะเชิญนายกฯมาชี้แจงและคงได้ติดตามกัน มองคำพูดของนายกฯชัดเจนว่า หมายถึงเรื่องตั๋ว ถ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนน่าเชื่อถือ มีสติสัมปชัญญะในการพูด เราไม่ได้มีคนวิกลจริตเป็นนายกฯ แบบนั้นนายกฯต้องรับผิดชอบ ต้องเดินตามกฎหมาย
แต่ที่น่าจะทำทำให้พรรคเพื่อไทยต้องวิตกกังวล และครั่นเนื้อครั่นตัวได้พอสมควร คงเป็นท่าทีของ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ออกมากล่าวว่า “ก่อนที่จะเปิดสมัยประชุมก็คงจะใช้การทำงานของคณะกมธ.จัดการก่อน พอเปิดสมัยประชุมนายกฯ ก็ต้องมาชี้แจง ไม่ใช่อยู่ดีๆ พอวันรุ่งขึ้นมาบอกว่า ไม่ได้หมายความแบบนั้น พูดถึงว่าความไม่ใช่คน ฟังแล้วจริงๆ แล้ววันนั้น อยากเอายาไปทาสีข้างให้ท่าน ท่านคงจะอักเสบพอสมควร ไหนๆท่านก็สารภาพมา 80% แล้ว อีก 20% ก็พูดมาเถอะว่า สส.ที่มาฝาก ผกก.ใหม่กับท่านคือใคร ฝากกี่คน จริงๆไม่ได้ยากเกินวิสัย เพราะผกก.มีการโยกย้ายและมีผกก.อยู่จำนวนหนึ่ง”
“เดี๋ยวผมจะไปหาทางโยงว่า ผกก.ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.เป็น พ.ต.อ. และเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผกก.ใหม่ เป็นใคร อยู่ในจังหวัดไหน อยู่ในสถานีตำรวจใด และมีเครือข่ายความสัมพันธ์โยงใย เครือข่ายกับ สส.คนไหน แล้วเดี๋ยวค่อยไปถามนายกฯ เรียงคนว่าคนนี้อยู่ในบัญชีฝากหรือไม่ สมหวังหรือผิดหวัง”นายวิโรจน์ กล่าว
ต้องยอมรับ หาก “วิโรจน์” ไปตรวจสอบบัญชี แต่งตั้งนายตำรวจระดับ ผกก.ที่ประกาศออกมา แล้วพบว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสส.พรรคเพื่อไทย ก็คงมีคำถามพอสมควร หากอาวุโสไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และไม่มีความรู้สามารถ ตามระเบียบที่กำหนดไว้ ก็อาจถูกตีความได้เป็นตั๋วที่ฝากฝังมา และคงจะเป็นปัญหากับหัวหน้ารัฐบาล
หรือในที่สุดแม้ว่าจะไม่สามารถ หาหลักฐานมาเอาผิดได้ ทั้งทางกฎหมายและรธน.กับ “เศรษฐา” ได้ฐานะนายกฯ เพราะไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็เป็นบทเรียนให้หัวหน้ารัฐบาล ได้รับรู้ว่า ทุกคำพูดทุกการกระทำมีความหมาย และถูกจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เพราะการแย่งชิงอำนาจในทางการเมือง ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย วันใดถ้าหากพลาดพลั้งขึ้นมา อาจหลุดจากเก้าอี้ฝ่ายบริหารไม่รู้ตัว
……………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย “แมวสีขาว”