หน้าแรกCOLUMNISTS“พรรคประชาชน”ตั้งเงื่อนไขมัดตัวเอง! หนีไม่พ้น“ฝ่ายค้าน”ไร้คนร่วมงานด้วย

“พรรคประชาชน”ตั้งเงื่อนไขมัดตัวเอง! หนีไม่พ้น“ฝ่ายค้าน”ไร้คนร่วมงานด้วย

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

บรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง หลัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดไทม์ไลน์วันที่ 27-31 ธ.ค.68  เป็นวันรับสมัคร สส. แบบแบ่งเขตพร้อมกันทั่วประเทศ ส่วนวันที่ 28-31 ธ.ค.68  เป็นวันรับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ เฉพาะพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขต และพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี    

โดย “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. สรุปภาพรวมการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ และให้พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะ แต่งตั้งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ว่า “ภาพรวมทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จากความร่วมมือทั้งพรรคการเมืองและผู้สนับสนุน ซึ่งพรรคการเมืองที่มาลงทะเบียน มี 52 พรรคการเมือง ได้เสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ จำนวน 32 พรรคการเมืองรวม 68 คน”

แสวง บุญมี

แต่พรรคที่ยังไม่ได้เสนอชื่อสามารถเสนอได้ จนถึงวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครวันที่ 31 ธ.ค. 2568 ส่วนพรรคการเมืองได้ยื่นนโยบายที่จะใช้ในการหาเสียง ซึ่งจะส่งไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปถึงเจ้าบ้าน 19 ล้านครัวเรือน โดย 52 พรรคการเมืองได้ส่งนโยบายหาเสียงเรียบร้อยแล้ว ขณะที่พรรคการเมือง จำนวน 52 พรรค ได้เสนอรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมจำนวน 1,502 คน

ส่วนนโยบายที่จะใช้หาเสียงตามมาตรา 57 กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนโยบายหาเสียง โดยจะต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ทั้งนี้ องค์คณะตรวจสอบนโยบายพรรคการเมือง มาจากหลายภาคส่วนเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ อาทิ สำนักงบประมาณ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น “วีระ ธีรภัทร” ผู้ดำเนินรายการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ โดย กกต.จะเชิญมาร่วมตรวจสอบนโยบายพรรคการเมืองด้วย ซึ่งถือเป็นการวางกรอบ ไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนในอดีต อย่างเช่น โครงการรับจำนำข้าว

ต้องยอมรับการการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.พ.69 เป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ขั้วการเมือง “พรรคสีน้ำเงิน-พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ที่มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นหัวหน้าพรรค กับ “พรรคสีส้ม-ประชาชน” (ปชน.) ที่มี “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” เป็นหัวหน้าพรรค

ผลพวงจากการเข้าไปเป็นแกนนำรัฐบาล โดยมี “ปชน.” เป็นฝ่ายสนับสนุน แม้จะเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ “พรรคสีน้ำเงิน” เติบโตอย่างคาดไม่ถึง จากการเลือกตั้งเมื่อปี 66 ได้ สส. มา 71 คน แต่การเลือกตั้งที่จะกำลังเกิดขึ้น  เมื่อมีบรรดา “บ้านใหญ่” และ “อดีต สส.” ย้ายเข้ามาสังกัดกว่า 70 คน ทำให้กลายเป็น “เต็งหนึ่ง” ที่มีโอกาสกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง 

อีกทั้งการกระทบกระทั่งกัน ระหว่าง “อนุทิน” กับ “ณัฐพงษ์” อาจทำให้ 2 พรรคการเมือง ไม่มีโอกาสร่วมมือกัน ในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะตามปกติพรรคที่ได้อันดับ 1 และ 2 จะไม่จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพราะหากมีความขัดแย้งกัน จะส่งผลทำให้เกิดการแตกหัก รัฐบาลต้องมีอันเป็นไปในทันที

การตอบโต้ระหว่าง “อนุทิน” กับ “ณัฐพงษ์” เกี่ยวกับเรื่อง กฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีไว้ปกป้องและคุ้มครองสถาบัน และกลายเป็น บาดแผลสำคัญ ของพรรคสีส้ม เพราะการกำหนดแนวทางแก้ไขมาตรา 112  ไว้ในนโยบายหาเสียง ในสมัยพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำมาสู่การถูกศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) สั่งยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ถูกตัดสิทธิ์  ซึ่งรวมถึง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค

และที่กลายเป็น ประเด็นร้อน ในเวลานั้น คือหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 66 การขอแก้ไขกฎหมายสำคัญ ที่มีไว้เพื่อคุ้มครองสถาบัน กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ ไม่ขอร่วมงานกับพรรคก้าวไกล รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็ใช้ประเด็นดังกล่าว ไม่ยอมโหวตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ จนทำให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน   

ดังนั้นด้วยคำวินิจฉัยของศาล รธน. รวมทั้งการไม่มีพรรคไหน ร่วมสังฆกรรรมด้วย จึงกลายเป็นบทเรียนสำคัญ สำหรับ “พรรคสีส้ม” 

อนุทิน ชาญวีรกูล

ล่าสุด…เมื่อ “อนุทิน” ออกมาระบุว่า พรรคประชาชนหมกหมุ่นกับการแก้ไขมาตรา 112 จึงกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีภายหลัง “ณัฐพงษ์” ไปร่วมเวทีดีเบตของ “ไทยรัฐทีวี” ช่วงหนึ่งพิธีกรถามว่า จะสนับสนุนการนิรโทษกรรมเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 หรือไม่ โดยหัวหน้าพรรคประชาชนเป็นคนเดียวที่ยกมือสนับสนุน

พร้อมกับกล่าวบนเวทีดีเบตว่า “ไม่มีใครควรติดคุกเพราะคำพูด” ทำให้ “อนุทิน” ที่ไม่ได้ใบร่วมดีเบตเวทีดังกล่าว ออกมาให้ความเห็นสวนทันควันว่า “ติดตามชมรายการไทยรัฐดีเบต ทราบว่าหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นคนเดียวบนเวทีที่ยังยืนยันว่าต้องแก้ไขมาตรา 112 ถ้ายังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่ร่วมด้วยแน่นอน พรรคไหนจะร่วม ก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค แต่เท่าที่ดูแคนดิเดตของทุกพรรค ไม่มีพรรคไหนตอบว่า จะแก้ไขมาตรา 112 ยกเว้นพรรคประชาชน”

ดังนั้น การแก้ไขมาตรา 112 กำลังกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่อาจทำให้พรรคสีส้ม ต้องกลายเป็นถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองอีกครั้ง

เหมือนหลังการเลือกตั้งปี 66 ไม่มีพรรคไหนยอมจับมือจัดตั้งรัฐบาลด้วย อีกทั้งการให้ความเห็นของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เท่ากับ “ปิดทาง” กับการจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับ “พรรคประชาชน” และอาจทำให้ พรรคการเมืองต่าง ๆ ต้องคิดหนัก หากต้องร่วมงานกับพรรคสีส้ม

หรืออาจเป็นเกมการเมือง ที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามนำเรื่องมาตรา 112 มาผูกติดกับพรรคคู่แข่ง จึงไม่ใช้เรื่องแปลกเมื่อ “ณัฐพงษ์” ออกมาตอบโต้ “อนุทิน” ทันทีว่า “เมื่อนายอนุทินประกาศจุดยืนชัด การเลือกตั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นการแข่งจัดตั้งรัฐบาล ระหว่างรัฐบาลประชาชน กับรัฐบาลอนุทิน” พร้อมปฏิเสธเสียงแข็งกร้าวว่า “ประเด็นดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ตามที่ถูกกล่าวอ้าง ยืนยันอีกครั้งว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่อง 112 ตามที่คุณอนุทินอ้างทั้งสิ้น พอได้แล้วกับนิทานหลอกลวงประชาชน เพื่อกักขังประเทศให้อยู่กับอดีต”

ทั้งนี้ “ณัฐพงษ์” ยังประกาศว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เสียงมาเป็นอันดับ 1 พรรคประชาชนจะไม่ขอร่วมรัฐบาล แต่ถ้าพรรคสีส้มได้เป็นแกนนำรัฐบาล การดึงใครมาร่วมงาน ก็ต้องหมายความว่า ต้องคุมได้ ไม่มีรัฐมนตรีสีเทาเข้าร่วมงาน พร้อมทั้งประกาศ ไม่สามารถร่วมงานกับ “พรรคกล้าธรรม” (กธ.) เพราะแกนนำพรรค  อาจมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายสแกมเมอร์ระดับโลก  

3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์

ด้าน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็ยืนยันกลางเวทีรายดีเบตของค่ายไทยรัฐว่า  “เงื่อนไขการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องการพลิกให้บ้านเมืองมีความสุจริต หลักการร่วมและตั้งรัฐบาลของ ปชป. เชิงบวกคือต้องมั่นใจผลักดันนโยบายเราได้ เชิงลบคือนโยบายใดไม่ตรงกับจุดยืนเรา สร้างความแตกแยกเราปฏิเสธ เราไม่สามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรมไม่เอาเด็ดขาด”

การประกาศของหัวหน้าพรรค ปชป. อาจไม่มีผลทางการเมือง เพราะหลายคนเชื่อว่า พรรคเก่าแก่น่าจะได้ สส.ไม่เกิน 30 คน อีกทั้งมีข่าวว่า ความตั้งใจของ “อภิสิทธิ์” ต้องการให้ “ปชป.” เป็นฝ่ายค้าน เพื่อโชว์บทบาทการเป็นฝ่ายตรวจสอบ เรียกศรัทธาการทำงานของพรรคเก่าแก่ เพราะหากจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ด้วยจำนวนเสียง สส. อาจได้กระทรวงที่มีบทบาทไม่สำคัญมากนัก

อย่าลืมว่า “อภิสิทธิ์” เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ มาแล้ว หากต้องเข้าร่วมรัฐบาล หัวหน้า ปชป.คงไม่สามารถเข้าไปรับตำแหน่งในครม.ได้ แม้จะไม่มีข้อห้ามในทางกฎหมาย แต่ในทางการเมือง ไม่มีใครรับ อาจจะมีเพียง “บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกฯ ที่ยอมเข้ามารับตำแหน่งรองนายกฯ ดูแลความมั่นคงในสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” 

แต่การที่ “ณัฐพงษ์” รีบประกาศไม่ขอร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม อาจทำให้พรรคประชาชน ต้องติดล็อกทางการเมือง ในขณะทั้งแกนนำพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย ไม่ผูกมัดตัวเอง อ้างขอรอผลการเลือกตั้ง เพราะคงรู้ว่า ถ้าหากพูดแล้ว อาจทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ต้องทำให้ตัวเองต้องเป็นฝ่ายค้าน เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกคาดหมายว่า จะไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่ง โดยพรรคที่ได้เสียงมากที่สุด ไม่น่าจะเกิน 150 เสียง ดังนั้นโครงสร้างรัฐบาลจึงหนีไม่พ้น “รัฐบาลผสม” โดยพรรคการเมืองที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ หนีไม่พ้นขนาดกลาง “พท.” และ “กธ.”  

แม้หัวหน้าพรรคประชาชนจะออกมาเรียกร้อง ภายหลังการเลือกตั้ง ต้องเปิดทางให้พรรคที่ได้เสียงมากที่สุด ในการจัดตั้งรัฐบาล และพรรคพยายามจะคว้าเก้าอี้ สส.ให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันไม่พรรคที่ได้จำนวน สส.อันดับ 2 และ 3  ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแข่ง ซึ่งต้องรอดูจะทำได้หรือไม่

แต่ถ้าเทียบกับการมีพันธมิตรทางการเมือง ต้องยอมรับว่า “ภท.” หาเพื่อนร่วมงานได้ง่ายกว่า หากได้ สส.ประมาณ 140 คน บวกรวมกับ “กธ.” ซึ่งคาดหมายจะได้ สส. ประมาณ 60-70 ที่นั่ง ร่วมกันน่าจะได้ 200 เสียง จากนั้นไปทาบทาม “พท.” มาร่วมงาน เชื่อว่าพรรคสีแดงจะยอมมาร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงิน เพราะด้วยสายสัมพันธ์ของ “แกนนำ ภท.” กับ “ผู้มากบารมี” ทั้งยังมีคดีความที่ “ทักษิณ” ต้องต่อสู้ จึงเป็นเครื่องพันธนาการ ที่ทำให้ “พท.” ขยับตัวลำบาก และอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ผลพวงจากการเสนอแก้ไขมาตรา 112  ของพรรคก้าวไกลในอดีต ยังกลายเป็นคดีคความที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ โดยมีอดีตสส. 25 คนของพรรคก้าวไกล ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน อีก 10 กว่าคน ติดบ่วงในคดีนี้ด้วย

ที่สำคัญกว่านั้นคือ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสีส้ม 2 คนที่ถูก “ป.ป.ช.” สอบสวนอยู่คือ “ณัฐพงษ์” และ “ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” จึงเหลือเพียง “วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร” โดยมีข่าวว่า ป.ป.ช. ได้สรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ตัดสินเท่านั้น

ขณะที่ “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช. ได้ชี้แจงกรณีคดีจริยธรรมร้ายแรงของอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล สืบเนื่องจากการเข้าชื่อแก้ไขมาตรา 112 หลังจากข่าววันที่ 25 ธ.ค. กรรมการป.ป.ช. จะนัดลงมติว่า ยังไม่มีการนัดลงมติ เนื่องจากไม่มีวาระการประชุม สาเหตุหลักของการเลื่อนพิจารณา มาจากฝั่งผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 44 คน ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเข้ามายัง ป.ป.ช. ทางคณะกรรมการจึงจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดในหนังสือดังกล่าวก่อน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายตามสิทธิ แม้คณะอนุกรรมการไต่สวนจะสรุปสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อมีคำร้องใหม่ ป.ป.ช. ต้องตรวจสอบว่า เป็นพยานหลักฐานใหม่หรือไม่ 

แกนนำพรรคก้าวไกล ก่อนถูกยุบพรรคเปลี่ยนมาเป็น “พรรคประชาชน”

สำหรับขั้นตอนถัดไป ป.ป.ช.จะพิจารณาว่าคำร้องดังกล่าว มีน้ำหนักเพียงพอ หรือเป็นเรื่องซ้ำซ้อนกับที่เคยไต่สวนไปแล้ว หากพบว่าเป็นข้อมูลที่เคยพิจารณาไปแล้ว ป.ป.ช. จะไม่อนุญาตให้ขยายเวลา และจะบรรจุวาระเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ทันที ทั้งนี้ ป.ป.ช. ยืนยันในจุดยืนที่เป็นกลาง แต่อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการพิจารณาคำร้องจนยังไม่สามารถกำหนดวันลงมติได้ 

ซึ่งถือเป็น “ระเบิดเวลา” ที่ “พรรคสีส้ม” ต้องไปรอลุ้นว่า “ฉนวนจะถูกถอดสลัก” หรือ “กลายเป็นแรงระเบิด” ที่ส่งผลทำให้พรรคประชาชนต้องผิดหวังอีกรอบ แต่ที่ยังมีประเด็นที่อาจมีผลทำให้พรรคสีส้ม ต้องตกเป็นฝ่ายค้านอีกรอบ หลังประกาศไม่จับมือกับ “ภท.” และ “กธ.” 

โดยท่าที “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้า พท. และแคนดิเดตนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ว่า “หลังจากหัวหน้าพรรคประชาชนสื่อสารผ่านเวทีดีเบต ขออธิบายหลักประชาธิปไตยเพิ่มเติมว่า พรรคที่ได้คะแนนหรือที่นั่งอันดับ 1 ไม่ได้มีสิทธิ์บังคับให้ทุกพรรคต้องโหวตให้ตัวเองเป็นรัฐบาล สิ่งที่มีอยู่จริงคือ “ธรรมเนียมให้พรรคอันดับ 1 ได้รวบรวมเสียงก่อน” เพื่อสะท้อนเจตจำนงประชาชน แต่ไม่ใช่ใบสั่งให้ใครต้องยกมือให้”

หัวใจของระบบรัฐสภาไม่ใช่อันดับ 1 แต่คือเสียงข้างมากในสภา ถ้ารวมเสียงไม่ได้ ก็ไม่มีใครเป็นหนี้ต้องโหวตให้ นี่คือประชาธิปไตย ไม่ใช่พิธีกรรมตามอันดับคะแนน การยกเหตุผลว่า “ได้ที่ 1 แล้ว คนอื่นไม่โหวต คือไม่เคารพประชาชน” เป็นการตีความที่อันตรายเพราะเท่ากับลดค่าประชาธิปไตยให้เหลือแค่ตัวเลขอันดับ ไม่ใช่กระบวนการถ่วงดุลในสภา ประชาชนเลือก สส. ไม่ใช่เลือก “นายกฯ ล่วงหน้า”

จับท่าที “พท.” ที่ถูกคาดหมายจะได้เสียงสส. มาเป็นอันดับ 3 ย่อมถูกตีความว่า อาจไม่ต้องการจับมือกับพรรคที่ได้เสียง สส.มากที่สุด คงหวังการต่อรอง และดูองค์ประกอบ ที่ทำให้พรรคตัวเองได้ประโยชน์ทางการเมืองมากที่สุดโดยเฉพาะการนำประเด็นเกี่ยวกับคดีความของ “ผู้มากบารมี” ที่มีอิทธิพลเหนือพรรค เข้ามาพิจารณาด้วย

คงต้องบอกว่า หนทางที่จะทำให้พรรคสีส้มได้เป็นรัฐบาล คือทำให้ตัวเลขสส. แต่ 200 คน จะช่วยเป็นแรงกดดัน ให้บางพรรคการเมือง ยอมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระแสความนิยมของ “เท้-ณัฐพงษ์” เทียบเคียงกับ “ทิม-พิธา” ไม่ได้เลย…น่าเป็นห่วงยิ่ง!!!

……………………………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img