หลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. มาตลอด ก็คงรู้ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่นายตำรวจท่านนี้ต้อง เผชิญวิบากกรรม มักจะเดินสายทำบุญมาตลอด โดยถูกยกให้เป็น “สายมู” คนหนึ่ง นับตั้งแต่เคยถูกย้ายไปประจำสำนักนายกฯ
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันพระใหญ่ “มาฆะบูชา” รองผบ.ตร.รายนี้เดินสายทำบุญนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ต่อเนื่องถึงวันที่ 25 ก.พ. หลายวัดในพื้นที่ จ.อุดรธานี และ จ.หนองคาย เริ่มตั้งแต่ไปบวงสรวงขอพรจาก “พ่อปู่ศรีสุทโธ” และ “แม่ย่าประทุมมา” ที่คำชะโนด และทำบุญใหญ่อีกหลายวัด จากนั้นในวันที่ 25 ก.พ. ได้เดินทางไปที่วัดป่าอินทร์ถวาย ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
นอกจากนี้ยังเป็น ประธานฝ่ายฆราวาส เพื่อร่วมในพิธีฉลองศาลาทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมทบทุนสร้างพิพิธภัณฑ์ปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยมี “หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก” เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นอกจากนี้ยังมีแฟนคลับที่มาร่วมกิจกรรม ขอถ่ายรูปเป็นระยะ ขณะที่ชาวบ้านแนวเส้นทางที่รู้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” จะไปเดินทางที่วัด ทำป้ายมาต้อนรับและให้กำลังใจด้วยการชูป้าย “รักบิ๊กโจ๊ก สู้ๆ”
ต้องยอมรับวิบากกรรมที่เกิดขึ้นครั้งหลังสุด หนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง เมื่อมีการตรวจพบ เส้นทางการเงินของ “รองผบ.ตร.รายนี้” เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ “เครือข่ายเว็บมินนี่” หลังก่อนหน้านี้ ตำรวจได้เข้าจับกุมแจ้งความดำเนินคดี กับ ลูกน้องของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ประกอบด้วย พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์, พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย, พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย, พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ, พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์, พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร, ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว และส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์
ตามแนวการสืบสวนสอบสวนขยายผล คดีเว็บพนันออนไลน์ ของชุดพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่มี “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รอง ผบ.ตร. คุมทีม และมีการส่งสำนวนบางส่วนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ขณะที่เมื่อวันที่ 21 ก.พ. “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก.ในฐานะ รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากตร.ให้มาดูแลในคดีนี้ ออกมายอมรับในวันที่ 21 ก.พ.67 ว่า มีการตั้งข้อหา “บิ๊กโจ๊กและพวก” ว่า กระทำความผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 149 และหาก ทาง “ป.ป.ช.” พิจารณาส่งสำนวนกลับมาให้พนักงานสอบสวนทำ ก็จะมีการแจ้งข้อหาในความผิดฐานฟอกเงินเพิ่มเติม
สำหรับคดีเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ แบ่งเป็น 2 สำนวนคดี คดีแรกมีผู้ต้องหา 61 คน มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชน ซึ่งเป็นคดีหลัก มีพนักงานสอบสวนตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนอีกคดีเป็นการสืบสวนขยายผล พบผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเพิ่มอีก 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ สำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.
ทั้งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่า การที่ตำรวจต้องการนำสำนวนคดีนี้ กลับมาดำเนินการเอง เนื่องจากคดีดังกล่าว ได้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลานานแล้ว ตั้งแต่สมัย “พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” เป็น ผบ.ตร. อีกทั้งคดีหลักที่มีผู้ต้องหา 61 รายนั้น ยังมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท โดยตำรวจมีพยานหลักฐานว่า เงินจากบัญชีม้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
อีกทั้งเงินจากบัญชีม้าดังกล่าว ยังเชื่อมโยงไปถึง “ญาติพี่น้อง” ของ “ผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจ” ที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล-ค่าซื้อบ้าน-ค่าซื้อรถ-ค่าเทอม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการขยายผล และเชื่อว่ายังมีเว็บไซต์พนันออนไลน์อื่น ที่เกี่ยวข้องกับ “ตำรวจคนนี้” ด้วย และหากพบพยานหลักฐานก็จะถือว่า เป็นคดีใหม่ ซึ่งหากทาง ป.ป.ช.มีมติว่า จะส่งสำนวนในคดีกลับมา ให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาฐานฟอกเงินเพิ่มเติมทันที ส่วนเรื่องระยะเวลาที่ ป.ป.ช.ใช้พิจารณานั้น ปกติแล้วใช้เวลาไม่นาน ก็จะมีผลการพิจารณาออกมาทันที
“ตำรวจและ ป.ป.ช.ได้ทำงานโดยเป็นอิสระต่อกัน ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือเล่นนอกเกม แต่ต้องการให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว เพราะมีหลายฝ่ายนำเรื่องนี้มาโจมตีตร.ทำให้เกิดความเสียหาย” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจและ ป.ป.ช.ต้องการทำสำนวนนี้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเองหรือไม่
สำหรับหลักฐานสำคัญที่ทางทีมสอบสวน มั่นใจว่า จะสามารถดำเนินคดีกับ “รองผบ.ตร.” ได้มาจาการยึดคอมพิวเตอร์ของ “พ.ต.อ.คริษฐ์” ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “พ่อบ้าน” ดูแลค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ให้ มีการทำบัญชีเกี่ยวกับรายจ่าย ซึ่งบางส่วนโยงกับเงินที่ได้จากเว็บพนันและมีเส้นเงินพาดพิง “บิ๊กโจ๊ก” โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
ด้าน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ว่า “การให้สัมภาษณ์ของนายตำรวจบางท่าน ทำให้สื่อเข้าใจได้ว่า ถูกแจ้งข้อหา 149, 157 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมเสื่อมเสีย และทำให้ครอบครัวได้รับความเสื่อมเสีย เรื่องนี้เป็นเรื่องของตำรวจทะเลาะกัน ถ้าหากจะเคลียร์ใจก็ไม่ควรจะเริ่ม และฝากไปถึงคนที่เป็น “อีแอบ” เอาเวลาไปทำงานช่วยเหลือประชาชนจะดีกว่า แต่การที่มามุ่งหมายที่จะทำคดีเว็บพนัน เพราะต้องการจะทำให้ผมเสื่อมเสียชื่อเสียง คดีอยู่ในชั้นอัยการและสำนวนก็ถูกส่งไปที่ ป.ป.ช.แล้ว ดังนั้นการออกมาให้ข้อมูลของ “ผู้ที่มีอำนาจ” และเฝ้าโจมตีให้ผมเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้หยุดและไปทำงานเสียดีกว่า ฝากเตือนไปยังพนักงานสอบสวนในคดีเว็บพนันด้วยว่า ขอให้ทำสำนวนอย่างตรงไปตรงมา เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อเกิดปัญหา จะไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนปกป้อง และคงต้องมานั่งสู้คดีที่ถูกฟ้องร้องด้วยตัวเอง”
“บิ๊กโจ๊ก” ยังระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องไปพัวพันกับคดี ทั้งๆ ที่ “ผมนี่แหละเป็นศัตรูตัวฉกาจของเว็บพนัน” เป็นผลมาจาก “ตำรวจทะเลาะกันเอง” ส่วนการที่ตำรวจส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปีที่แล้ว และทางป.ป.ช.ไม่ได้ส่งสำนวนกลับมา เพราะชื่อว่า ป.ป.ช.กำลังคิดว่าตำรวจทะเลาะกันเอง ป.ป.ช.ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของตำรวจ เพราะเป็นหน่วยงานที่ผดุงความยุติธรรม ตรวจสอบการทุจริตโดยตรง ดังนั้นการไปพูดแบบนั้น มันเสียหาย วันนี้สรุปได้ว่า วันนี้ไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ ตนทั้งสิ้น ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ 100% มีการแจ้งเฉพาะลูกน้องของตนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งขอสังเกตว่า การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ต้องการให้ ป.ป.ช.เข้ามาสอบสวนสำนวนที่ตนเองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากองค์กรอิสระต้องใช้เวลา ไต่สวนนานพอสมควร มีโอกาสในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เมื่อเทียบกับการให้ตำรวจทำสำนวนในการสอบสวน ซึ่งอาจใช้เวลาไม่นานหนัก
อย่าลืมว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” มีอาวุโสสูงสุด เป็น แคนดิเดตคนสำคัญที่จะเป็นคู่ชิงตำแหน่ง “ผบ.ตร.” ซึ่ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จะเกษียณอายุราชการใน 30 ก.ย.ปีนี้
จนทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า มรสุมที่เกิดขึ้นกับ “รองผบ.ตร.รายนี้” เป็น แผนสกัด “พล.ต.อ. สุรเชษฐ์” ไม่ให้ก้าวเข้าไปรับตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากีคนที่ 15” เนื่องจากจะเกษียณอายุราชการในปี 2574
นั่นหมายความว่า หาก “บิ๊กโจ๊ก” ได้เป็นผบ.ตร. จะปิดทางนายตำรวจหลายนายที่มียศ “พล.ต.อ.” ให้หมดโอกาสให้นั่งเก้าอี้ผบ.ตร. รวมถึง “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รองผบ.ตร. ที่คุมการสืบสวนขยายผลคดีเว็บพนันออนไลน์ ก็หมดโอกาสได้ลุ้นชิงเก้าอี้สำคัญไปด้วย แต่ถ้า “บิ๊กโจ๊ก” ถูกแจ้งข้อกล่าวหา หรือ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน ย่อมกลายเป็นชนักปักหลัง เป็นเงื่อนไขให้ “ผบ.ตร.” อาจไม่สนับสนุน “บิ๊กโจ๊ก” เนื่องจากยังมีปัญหาเรื่องคดีความติดตัวอยู่
นอกจากนี้ในช่วงการทำหน้าที่ดูแลงานด้านการสืบสวน “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เข้าไปคลี่คลายในคดีสำคัญ เช่น ยิงตำรวจเสียชีวีตในบ้าน “กำนันนก”, ส่วยสติกเกอร์ทางหลวง, ตำรวจร่วมกับรีดทรัพย์ผู้ต้องหาเว็บพนันออนไลน์ 140 ล้านบาท ฯลฯ ทั้งหมดนี้อาจทำให้ “นายตำรวจระดับสูงบางคน” ไม่พอใจ เพราะมองว่า “ต้องการดิสเครดิต” เลยหาช่องทางเล่นงานสกัด “บิ๊กโจ๊ก” เพื่อไม่ให้ก้าวขึ้นไปสู่ดวงดาว
สำหรับการคัดเลือกแต่งตั้ง “ผบ.ตร.” ในปีนี้ จะใช้ “พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565” มาใช้เป็นหลักในการพิจารณา โดยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย…
มาตรา 77 ระบุว่า “การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่ง ให้แต่งตั้งตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ ตำแหน่ง “ผบ.ตร.” จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศ “พล.ต.อ.” ซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ หรือรองผบ.ตร.”
มาตรา 78 ระบุว่า “การคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) (2) (3) (4) (5) (6) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อพนักงานตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77(1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวน หรืองานป้องกันปราบปราม เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนแล้วให้นายกฯนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง”
ซึ่งเจตนารมย์ของกฎหมายต้องการให้แต่งตั้ง “ผบ.ตร.” โดยคำนึงถึง “ความอาวุโส” มาเป็นเกณฑ์หลักในการพิจารณาก่อน โดยแบ่งเป็น “คะแนนอาวุโส” กับ “ความรู้ความสามารถ” อย่างละ 50% เท่าๆ กัน เมื่อเรียงอาวุโสแล้ว ใครอาวุโสสูงสุด ก็จะได้คะแนน 50% ส่วนคนที่รองลงมา ก็เฉลี่ยว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์
อย่าลืม “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ผู้มีบารมีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน” เนื่องจากบิดาคือ “ด.ต.ไสว หักพาล” เคยเป็นพลขับให้ “พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์” บิดาของ “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยา “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นมารดาของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งที่ผ่านมามีข่าวว่า “บิ๊กโจ๊ก” ให้ความเคารพและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “คุณหญิงอ้อ” มาโดยตลอด
ต้องรอดู นับจากนี้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” จะฝ่ามรสุมที่รุมเร้าได้หรือไม่ เพราะวิบากกรรมที่เกิดขึ้น กระทบกับภาพลักษณ์ตำรวจ มีการตอบโต้กันไปมาระหว่าง “บิ๊กโจ๊ก” กับ “บิ๊กเต่า” โดยถูกมองว่าเป็นเรื่อง “ตำรวจตัดตำรวจ”
จนทำให้ “พล.ต.อ.อ.ต่อศักดิ์” มีหนังสือบันทึกข้อความด่วนที่สุด ลงวันที่ 23 ก.พ.67 เรื่อง กำชับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน โดยเป็นบันทึกข้อความส่งถึงรอง ผบ.ตร. และ จตช. ผู้ช่วย ผบ.ตร. และรอง จตช. ผบช. หรือตำแหน่งเทียบเท่า และ ผบก. หรือตำแหน่งเทียบเท่า ให้ปฏิบัติตามระเบียบตร.ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 30 ดังกล่าวข้างตันอย่างเคร่งครัด และให้ใช้วิจารณญาณ ประกอบดุลยพินิจที่มีพื้นฐานบนประโยชน์สาธารณะ และภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นสำคัญ ไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะของการบ่อนทำลาย หรือมุ่งที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์หรือกระแสสังคมเพื่อบั่นทอนภาพลักษณ์ หรือการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ หรือสร้างสภาวะเกื้อกูลเพื่อประโยชน์ส่วนตน
แม้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” จะมองว่า เรื่องราวที่ถาโถมเข้าใส่ ถือเป็นการช่วยฝึกสมอง เพื่อตั้งรับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่คงประมาทไม่ได้ เนื่องจากมีเก้าอี้ “ผบ.ตร.” เป็นเดิมพัน โดยเฉพาะเรื่อง บัญชีบันทึกค่าใช้จ่าย และ เส้นเงิน ที่โยงใยถึง ที่เจ้าตัวต้องชี้แจงและ เคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ โดยเฉพาะมาเกิดในช่วงปีสุดท้ายของแม่ทัพสีกากีคนปัจจุบันพอดี
………………………………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย… “แมวสีขาว”