ช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดอาการระส่ำระส่าย อันเนื่องมาจากพิษ “โควิด-19” องคาพยพที่มีส่วนเกี่ยวพันกับฝ่ายบริหาร ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย จะมากจะน้อยก็ขึ้นกับผลงาน และความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
ยิ่งเริ่มเห็นร่องรอย ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล หลายคนเลยคิดไกลไปถึงขั้น…หรือถึงเวลาที่หัวหน้ารัฐบาล จะตัดสินใจยุบสภาฯ เพื่อเปลี่ยนเป้าเบี่ยงเบนประเด็นทางการเมือง หวังให้ “พลังประชารัฐ” (พปชร.) กลับมาเป็นแกนนำรัฐบาล ภายใต้กฎกติกาเดิม
ด้วยยังหวังว่าจะสร้างความได้เปรียบให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในฐานะคุมอำนาจฝ่ายบริหาร อีกทั้งแกนนำรัฐบาลก็อาจอยากให้ถึงจุดนั้น เนื่องจากมั่นใจในคะแนนนิยม หลังผลักดันโครงการประชานิยมออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งบัตรคนจน คนละครึ่ง ไทยชนะ เราชนะ ส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่ในโลกของความฝัน กับหลักความเป็นจริงมักสวนทางกันเสมอ โดยเฉพาะ หลักความเป็นจริง ย่อมมีความเป็นไปได้มากกว่า ก็ในเมื่อวันนี้ “บิ๊กตู่” ยังมีอำนาจในฐานะผู้นำประเทศ
แล้วทำไมจะไปเสี่ยงวัดดวงในสนามเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอน
สำคัญกว่านั้นรัฐบาลยังมีภารกิจสำคัญรออยู่ นอกเหนือจากต่อสู้กับ “เชื้อไวรัสร้าย” คือ
1.การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่ายประจำปี 2565 ซึ่งมีวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ตามปฏิทินฝ่ายบริหารกำหนดไว้ สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2565 ในวาระที่ 1 วันที่ 26-27 พ.ค.64 วาระที่ 2-3 วันที่ 11-13 ส.ค.64 และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในวันที่ 23-24 ส.ค.64 จากนั้นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะนำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 7 ก.ย.64
2.ช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. จะมีการพิจารณา แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในทางการเมือง คงไม่มีใครปล่อยให้ช่วงเวลาสำคัญ และอำนาจที่มีอยู่ ตกอยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม ยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลมีเป้าหมาย ต้องการกลับมาเป็น แกนนำรัฐบาลอีกครั้ง แม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลเอง ก็คงไม่อยากให้อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในขณะนี้ ด้วยหวังจะใช้งบประมาณ และการวางเครือข่ายในระบบราชการ สร้างได้เปรียบ นำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต
โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้าย หลายคนจับตามองไปที่ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (ตร.) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และมีบทบาทกับการช่วยดูแลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามหลังการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ตร.ก็ถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานเพราะ “คลัสเตอร”์ ซึ่งนำมาสู่การระบาดรอบ 2 และ 3 เกี่ยวข้องกับการทำงานของ หน่วยงานที่รักษากฎหมาย แทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นแรงงานเถื่อน บ่อนการพนัน และสถานบันเทิง โดยเฉพาะ “ย่านทองหล่อ” ซึ่งแพรกระจายไปทั่วประเทศ ท่ามกลางข้อสงสัยว่า มีการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่
โดยเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย ทั้ง เปิดเกินเวลา การเว้นระยะห่าง ไม่มีการตรวจสอบสภาพร่างกายผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ จนกลายเป็น “คลัสเตอร์” ที่สร้างความเสียหาย และก่อให้เกิดผลกระทบกับภาพลักษณ์รัฐบาลอย่างรุนแรง
ขณะที่สื่อหลายเริ่มตั้งคำถาม กับการทำงานของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ว่ามีศักยภาพในการดูแล และป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ให้เกิดผลกับการระบาดของไวรัสร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ แม้ก่อนหน้าจะเข้ารับตำแหน่ง “ผบ.ตร.” คนที่ 12 จะได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นนายตำรวจน้ำดี ไม่มีข้อครหาในด้านลบ
แต่ “แม่ทัพสีกากี” คนปัจจุบันก็ยังถูกมองว่า มีจุดอ่อนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ไม่มีคอนเนคชั่นกับบุคคลหลากหลายอาชีพ จนนำมาสู่ความสำเร็จของการทำงาน ยิ่ง “พล.ต.อ.สุวัฒน์” เข้ามาทำงานต่อจาก “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” อดีตผบ.ตร. ที่สร้างประวัติศาสตร์ทำงานจนครบวาระ 5 ปี ก็ยิ่งมีข้อเปรียบเทียบ
อีกทั้ง “บิ๊กแป๊ะ” ยังผ่านสถานการณ์ร้ายๆหลายเหตุการณ์ แต่ก็สามารถรับมือได้ทั้งหมด มีทีมงานที่มีศักยภาพ จนได้รับการยอมรับ มีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เลยอาจทำให้ “แม่ทัพสีกากี” คนปัจจุบันทำงานยากขึ้น ยิ่งต้องเผชิญกับไวรัสร้าย ความเคลื่อนไหว ม็อบสามนิ้ว ซึ่งการทำกิจกรรมหลายครั้วกระทบเบื่องสูง จนเกิดคดีความเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตามต้องจับตามองคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ซึ่ง ผบ.ตร.ได้ลงนามแต่งตั้ง หลังจาก “พล.ต.ท.มโนช ตันตระเธียร” จเรตำรวจ (สบ 8) เป็นประธานกรรมการสอบสวน “บ่อนพนัน” ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยได้สรุปรายงานผลการสืบสวนไปเมื่อ 10 มี.ค.64 ว่า มีบ่อนการพนัน ที่บริเวณพื้นที่หลังสถานีขนส่ง (ขนส่งเก่า) จ.ระยอง
อีกทั้งยังมีบ่อนการพนันบริเวณพื้นที่ ตลาดนำชัย หรือ ร้านนำชัย และ ร้านเฉลิมกรุง พัทยาเหนือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่เริ่มลักลอบเปิดบ่อนการพนัน จนเป็นเหตุให้มีการแพร่เชื้อโรคโควิด กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ ผลการสืบสวนยังพาดพิงไปถึง ข้าราชการตำรวจ ผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าวว่ามีส่วนร่วม หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ซึ่งถือว่ามีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอบายมุข
โดยมีข้าราชการตำรวจ ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยครั้งนี้ มีตั้งแต่ระดับ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (พล.ต.ท.) รองผู้บัญชาการฯ ผู้การจังหวัด ไปจนถึงลูกแถวยศสิบตำรวจตรี จำนวน 249 นาย โดยคำสั่งดังกล่าวมีการระบุชื่อ ยศ ตำแหน่ง ของผู้ที่ถูกสอบทั้งหมดด้วย
เช่น พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม, พล.ต.ท.วีระ จิระวีระ, พล.ต.ท.ธีระพล จินดาหลวง, พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร, พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร, พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์, พล.ต.ต.มานะ อินพิทักษ์, พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์, พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์, พล.ต.ต.ประกาศ พงษ์พานิช, พล.ต.ต.ฉลอง สุขจันทร์, พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย, พ.ต.อ.พรชัย แก่นเพชร, พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์, พ.ต.อ.เมฆาวิศประดิษฐ์ผล, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์, พ.ต.อ.พีระพงษ์ เหล่าธนาวิน เป็นต้น
หลังมีการเผยแพร่คำสั่งดังกล่าวออกไป ก็มีเสียงวิจารณ์จากสื่อบางสำนัก เหตุเกิดตั้งแต่ปลายปี 63 ต่อเนื่องต้นปี 64 ทำไม “บิ๊กปั๊ด” เพิ่งจะมาเดินหน้าสั่งสอบช่วงนี้ หรือเป็นเพราะต้องการกลบกระแส “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิดระลอกใหม่ ที่สร้างความเสียหายไปทั่วประเทศในขณะนี้ และมีเสียงวิจารณ์ในทางลบ ซึ่งตร.ต้องแบกรับความรับผิดชอบไปเต็ม
ขณะที่ “แม่ทัพสีกากี” กำลังเผชิญเรื่องร้อนๆ จนไม่รู้ว่าบทสรุปจะออกมาอย่างไร จะเชื่อมโยงไปถึงใคร หากกระบวนการตรวจสอบ เป็นไปทางลบ จะมีเสียงเรียกร้องให้ “ผบ.ตร.” ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยหรือไม่ ในฐานะผู้นำองค์กร แม้จะมอบอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ตั้งแต่ระดับ “ผบช.” ลงมา…แล้วก็ตาม
ยิ่งเมื่อตัดภาพมาที่ “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเคยเป็นแคนดิเดทคู่ชิงเก้าอี้ “แม่ทัพสีกากี” กับ “บิ๊กปั๊ด” ระยะหลังก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ลุยสะสางคดีสำคัญให้สังคมเห็นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็คลี่คลาย คดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่นิติกร ศาลจังหวัดเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี แต่ที่ฮือฮามากที่สุดคือ สั่งการให้ “ผบช.ภ.6” ชี้แจง คดีจับไอซ์ 1.5 พันกิโลกรัม หลังพยานให้การมี “พ.ต.อ.-พล.ต.ท.” มีส่วนเกี่ยวข้อง
อีกทั้งยังมีข่าวว่า “บิ๊กใหม่” ซึ่งเกษียณอายุราชการในปี 65 ได้รับแรงหนุนจาก สีกากีบางคน ซึ่งอยู่ใกล้ ศูนย์อำนาจ หวังผลักดันให้มีลุ้นตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากี” โดยผลักดัน “พล.ต.อ.สุวัฒน์” ต้องขยับไปดูแลหน่วยงานอื่นแทน ท่ามกลางความร้อนแรงทางการเมือง
ย่อมมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ…ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้
…………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย “แมวสีขาว”