วันพฤหัสบดี, กันยายน 5, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTS“เศรษฐา”ถึงเวลา“หวานอมขมกลืน” หลัง“ทักษิณ”แย่งซีนเล่นบท“ผู้นำ”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เศรษฐา”ถึงเวลา“หวานอมขมกลืน” หลัง“ทักษิณ”แย่งซีนเล่นบท“ผู้นำ”

เพิ่งผ่านพ้น การจัดเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มี “พรรคเพื่อไทย” (พท.) เป็นแกนนำรัฐบาล โดยปรากฏภาพที่มีแต่ความชื่นมื่น “เศรษฐา ทวิสิน” นายกรัฐมนตรี ถึงกลับออกมายืนยันถึงความเป็นปึกแผ่นของรัฐบาล

พร้อมทั้งระบุว่า…มีอีกหลายพรรคที่ยังไม่ได้โชว์บนกระดานนี้ จากความร่วมมือของทุกๆ คนในรัฐบาลนี้ ให้เห็นว่าเรามีมากกว่า 314 เสียง แน่นอนการอยู่ด้วยกัน ได้พูดคุยถึงการทำงานร่วมกัน บรรยากาศอาจมีความตึงเครียดบ้าง ตนอาจจะดุบ้าง พูดจาไม่เข้าหูบ้าง แต่เรามี 300 กว่าเสียง

“ยืนยันทำงานด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน มีการพูดคุยกัน อย่างเป็นผู้ใหญ่ แม้จะมีเสียงเล็ดลอดออกไปบ้าง แต่ในวันนี้สื่อมวลชนได้มาอยู่ที่นี้แล้ว อยากขอบอกว่า ดูบรรยากาศเอาเองแล้วกันว่า เราสมัครสมานสามัคคีกันหรือเปล่า ดูจากรอยยิ้มและวิธีการที่เราพบปะพูดคุยกัน” นายกฯ ระบุ

ขณะที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวว่า วันนี้เอาป้ายโลโก้ของแต่ละพรรค มาติดในงานทั้ง 11 พรรค แต่ตอนนี้เรามีพรรคเล็กเข้ามาร่วมรัฐบาลแล้ว ทั้งที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดูแลอยู่ ก็มีหลายพรรค แต่พลังประชารัฐก็ไม่อยากจะน้อยหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็เอามาดูแลหลายพรรคเหมือนกัน ซึ่งก็ 20 กว่าพรรคแล้ว ที่ร่วมรัฐบาลในตอนนี้

แต่ท่ามกลางร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก็มีเรื่องร้อนๆ ที่พรรคแกนนำรัฐบาลกำลังเผชิญ และอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคต

เรื่องแรก คือ การจัดลำดับความสำคัญของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่งถือเป็นผู้มากบารมี ที่จะพ้นการพักโทษในเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นจะไร้มลทิน สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้มากขึ้น จะเข้ามีบทบาทอย่างไรใน “ฝ่ายบริหาร” มากขนาดไหน ภาพความโดดเด่น และมากบารมี จะมาทับซ่อนความเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” ของ “เศรษฐา” หรือไม่ 

เนื่องจากก่อนหน้านี้มีเสียงวิจารณ์ว่า ประเทศไทยมีผู้นำ 3 คน ทั้ง “เศรษฐา-ทักษิณ” และ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชันวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ยิ่งในระหว่างการเดินทางลงพื้นที่ที่จ.สุรินทร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “ทักษิณ” ได้ประกาศกับชาวบ้านตอนหนึ่งว่า “คิดว่ารัฐบาลหลังจากวันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป จะมีรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้เป็นผลประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เราต้องให้กำลังใจกัน วันนี้เป็นวันที่ดี เริ่มต้นทำสมองให้โปร่งใส จะได้แก้ปัญหาให้กับทุกคนได้ ให้ทุกคนมีแต่ความสุข”

ย่อมมีเสียงวิจารณ์ตามมา ก่อนหน้านั้นรัฐบาลที่มี” “เศรษฐา” เป็นผู้นำรัฐบาล ไม่สามารถผลักดันผลงานได้เป็นรูปธรรมใช่หรือไม่ หลังจากพ้นการพักโทษ “อดีตนายกฯ” จะออกมาผลักดันอะไรเป็นเรื่องด่วน “หัวหน้ารัฐบาล” จะแต่งตั้งให้เข้ามาทำงานในฝ่ายบริหารหรือไม่ หรือจะมีบทบาทอย่างไรในพรรคเพื่อไทย แม้จะอยู่ภาวะสูงวัย แต่ก็ยังมีประชาชนไม่น้อย นึกถึงผลงานในสมัยทำหน้าที่นายกฯตั้งแต่ปี 42-49 จึงไม่แปลกที่ “อุ๊งอิ๊ง” จะมั่นใจบุพการี และศักยภาพที่ยังมี จะช่วยงานฝ่ายบริหารและพรรคแกนนำรัฐบาล 

เพราะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ต้องเผชิญคู่ต่อสู้อย่าง “พรรคก้าวไกล” (ก.ก.) หลังจากการเลือกตั้งเมื่อปี 66 ที่ผ่านมา “พรรคสีแดงแพ้พรรคสีส้มอย่างเหนือความคาดหมาย” 

แม้กระทั่ง “ทักษิณ” กลับมามีบทบาททางการเมือง การสำรวจคะแนนนิยมผ่านโพลต่างๆ ก็ยังไม่กระเตื้อง พรรคเพื่อไทยยังตามพรรคก้าวไกลอยู่ห่างๆ

แต่ท่าที “เศรษฐา” ก็น่าสนใจ เมื่อสื่อตั้งคำถามว่า นายทักษิณออกมาให้ความเห็น หลังเดือนสิงหาคม รัฐบาลจะทำงานได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศ นายกฯและรัฐบาลมีแนวคิดที่จะเชิญอดีตนายกฯ ซึ่งจะพ้นโทษและเป็นผู้บริสุทธิ์ในเดือนสิงหาคมนี้เช่นกัน มาเป็นที่ปรึกษาหรือให้คำแนะนำอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวตอบว่า ตรงนั้นยังไม่ได้คิดและยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ส่วนการทำงานที่จะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นนั้น ตรงนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีการพูดคุยกันตลอดเวลาในเรื่องของการทำงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก

เชื่อว่า “เศรษฐา” คงไม่อยากแต่งตั้งให้ “ทักษิณ” เข้ามามีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร เนื่องจากเกรงในเรื่องข้อกฎหมาย  และคงกลัวจะเกิดภาพ “รัฐซ้อนรัฐ” เพราะปัจจุบันบรรดารัฐมนตรี ก็พร้อมรับคำสั่ง “ทักษิณ” ยิ่งหากมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ บทบาทของตัวเอง จะลดความสำคัญลงไป ถูกแย่งซีนจนกระทบความเชื่อในฐานะนายกฯ

ขณะที่ “แพทองธาร” ให้ความเห็นว่า ควรมองว่าทุกอย่างเป็นประโยชน์เพื่อประเทศชาติ นายทักษิณเป็นนายกฯมาหลายปี มีประสบการณ์มากมาย เชื่อว่าขณะนี้อายุ 75 ปีแล้ว น่าจะมีวิสัยทัศน์หรือความรู้หรือประสบการณ์ดีๆ ที่สามารถแบ่งปันให้พี่น้องประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคเพื่อไทยได้ และเชื่อว่าคนในที่นี้เคยทำงานร่วมกับท่านมาก่อน ในฐานะเคยเป็นนายกฯ ถือว่าไม่ใช่คนอื่นไกล

โดยก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” เคยออกพูดมาเสมอว่า อยากเห็นประเทศไทยพัฒนาไปข้างหน้า และเด็กไทยมีโอกาสมีการศึกษาที่ดี ซึ่งจะมองภาพอย่างคนที่เคยเป็นนายกฯ ซึ่งขณะนี้ก็เช่นกัน ต้องดูความเหมาะสมของอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

เช่นเดียวกับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ในฐานะที่เป็นมือทำงานให้ทักษิณ ให้ความเห็นว่า “เป็นความเห็นของนายทักษิณ ที่อยากนำเอาความรู้ความคิดเห็น ที่มีและประสบการณ์ที่มีอยู่ในการช่วยเหลือประเทศชาติ ซึ่งต้องไปถามนายทักษิณเองว่าจะช่วยอะไรอย่างไร หรือจะมีความคิดเห็นในเรื่องอะไรบ้าง ตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่ท่านต้องไปถามกับท่าน”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากจะช่วยงานพรรคเพื่อไทย สามารถทำได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าท่านพ้นมลทินทั้งหมด ก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้

จับท่าที “บุตรสาว” และ “คนใกล้ชิดทักษิณ” ต่างสนับสนุนให้อดีตนายกฯ เข้ามาช่วยงานในฝ่ายบริหาร เนื่องจากมีวิสัยทัศน์หรือความรู้หรือประสบการณ์ดีๆ ที่สามารถแบ่งปันให้พี่น้องประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งสวนทางกับท่าที “เศรษฐา” คงต้องรอดูเมื่อถึงเดือนสิงหาคม “หัวหน้ารัฐบาล” จะจัดวางบทบาท “ทักษิณ” ไม่ให้เกิดปัญหาขัดกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและคนใกล้ชิด…ได้อย่างไร

เช่นเดียวกับปัญหาความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทย หลัง “วัน อยู่บำรุง” บุตรชายร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ต่อเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง

โดย “วัน” กล่าวว่า ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว โดยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม หลังประชุมพรรค ได้ไปรอพบหัวหน้าพรรค และประโยคแรกที่ได้พูดกับหัวหน้าพรรคว่า “วันนี้พี่มามอบตัว ทราบข่าวมาว่า ทางหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค ไม่สบายใจที่มีภาพของผม อยู่ในวันนับคะแนนการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ปทุมธานี ที่บ้านของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผมพูดกับหัวหน้าพรรคว่าครอบครัวอยู่บำรุง จงรักภักดีต่อพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ไม่เคยคิดคดทรยศ ผมอาจจะคิดไม่รอบคอบ กรณีมีภาพของผมหลุดออกไปในวันนับคะแนน”

พร้อมทั้งระบุว่า เมื่ออธิบายความออกไป ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอะไรจะดีขึ้นเลย ซึ่งบทสนทนามีมากกว่านั้น และมีหลายประโยคที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตนพูดออกไปว่า ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ส่วนวันนี้ที่มาลาออก เมื่อผู้ใหญ่ในพรรคมองว่า ตนไม่เข้าตาแล้ว ท่านไม่แฮปปี้ ตนก็ไม่สบายใจ ถ้าไม่ลาออกจากสมาชิกพรรค เมื่อพรรคมีกิจกรรมอะไร ก็ต้องไปร่วมงาน ตนคงไม่หน้าด้าน ที่จะไปเดินเกะกะรกหูรกตาผู้ใหญ่ในพรรค

วัน อยู่บำรุง

วัน กล่าวอีกว่า ตนก็แค่ สส.กทม. สอบตก แต่ที่สอบตกอย่าลืมว่า กทม.มี สส. 33 คน พรรคเพื่อไทยตก 32 คน ถ้าสอบตกคนเดียว จะพิจารณาตนเอง คิดว่าทางพรรคเพื่อไทยก็ต้องกลับไปพิจารณาตัวเอง ว่านโยบายหาเสียงของพรรคครั้งที่แล้ว เป็นอย่างไร จะว่าเป็นความผิดของผู้สมัคร กทม.ก็ไม่ใช่ และคนเราก็อย่าไปเกรงกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่จงหาทางอยู่รอดกับการเปลี่ยนแปลง 

อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตกรณี “วรชัย เหมะ” ที่ปรึกษารองนายกฯ ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายกฯ แล้วเปรียบเทียบกับกรณีของตัวเองว่า จะผิดมารยาทหรือไม่ หรือว่าจะมีคนที่อยู่เบื้องหลัง “วรชัย” มากบารมีกว่านายกฯ จึงทำให้ “วรชัย” พูดได้

แม้ “วัน” จะลาออก แต่ยิ่งเป็นปมที่อาจกลายเป็นปัญหาต่อ เพราะก่อนหน้านี้ “ร.ต.อ.เฉลิม” ออกมาเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย ขับออกจากพรรค เพราะรับไม่ได้กับชะตากรรมที่บุตรชายต้องเผชิญ ดังนั้นต่อจากนี้ “นักการเมืองอาวุโสผู้นี้” จะออกฤทธิ์ออกเดช ให้เป็นปัญหากับพรรคต้นสังกัดหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา “ร.ต.อ.เฉลิม” ก็เคยวิจารณ์บทาท “ทักษิณ” มาแล้ว

แต่ที่เป็นข้อสงสัยและหลายคนตั้งข้อสังเกตคือ ก่อนหน้านี้ “วรชัย” ได้ออกมาวิจารณ์การทำงานของนายกฯ ด้วยถ้อยคำรุนแรง กับประโยคตะบี้ตะบันลงพื้นที่ แทนที่จะเรียกบรรดาข้าราชการมาสอบถามถึงความคืบหน้าในการทำงาน เพราะหลังให้ความเห็นไป มีเพียงแค่คำชี้แจงจาก “นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยะเดช” เลขาธิการนายกฯ จากนั้นก็ไม่มีมาตรการอย่างไรกับ “วรชัย”

หรือเป็นเพราะมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ “ภูมิธรรม” ซึ่งเปรียบเสมือน “”ผู้จัดการรัฐบาล” จนทำให้คนตีความ สิ่งที่ “วรชัย” ออกมาให้ความเห็นเ ป็นสงครามตัวแทนหรือไม่

จากนี้ต้องรอดูความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล นอกจากจะต้องสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชน  การบริหารอำนาจให้มีความสมดุล จะทำอย่างไรไม่ให้กระทบภาพความเป็นผู้นำของของ “เศรษฐา” หลัง “ทักษิณ” พ้นจากการพักโทษ

อีกทั้งยังมี ปมข้อกฎหมายเกี่ยวกับ “ชาญ พวงเพ็ชร์” ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ซึ่ง กกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้ง และถ้าได้รับไฟเขียว จากนั้นต้องหยุดปฏิบัติหรือไม่

โดยคดีดังกล่าว เป็นกรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อปี 2555 ซึ่งกระบวนการในปัจจุบัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้แล้ว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ก่อนหน้านั้น “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่า “ชาญ” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งสนับสนุน “ชาญ” อ้างว่า ต้องรอคำสั่งศาล 

เมื่อถึงวันนั้นต้องมีบทสรุปตามมา คงมีคำถามว่า ทำไมพรรคแกนนำรัฐบาล ถึงต้องสนับสนุนคนที่มีคดีความติดคิดตัวลงสมัคร กลายเป็น “วิบากกรรม” ทำให้ “ภาพลักษณ์เพื่อไทย” มีปัญหาเพิ่มมากขึ้นไปอีก

………………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img