ส.ค.67 ถือเป็นเดือนร้อนทางการเมือง ที่จะสะท้อนให้เห็นทิศทางของ รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ผู้มากบารมี อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังมีบทบาทสำคัญ ต้องจับตามองทุกย่างก้าว หลังเดินทางกลับมาประเทศไทย แม้ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ก็ถูกวิพากวิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะไม่ได้เข้าไปถูกจองจำอยู่ในเรือนจำซักวันเดียว
ไฮไลท์และจุดสำคัญของเดือนส.ค. อยู่ที่การตัดสิน 2 คดีใหญ่ทางการเมือง เริ่มด้วย วันที่ 7 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) นัดลงมติและอ่านคำวินิจฉัยในคดียุบ “พรรคก้าวไกล” (ก.ก.) และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เวลา 15.00 น. อันเนื่องมาจาก กรณีเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นประมุข
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล ปล่อยคลิปวิดีโอเชิงสารคดี ความยาว 7.52 นาที เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยช่วงสัปดาห์หน้า
พร้อมทั้งเขียนข้อความระบุว่า คดียุบพรรคที่ #ก้าวไกล กำลังเผชิญอยู่ ย่อมไม่ต่างกับสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่เผชิญเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือพรรคการเมืองต่างๆ เจอมาในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา การยุบพรรคอาจจะยุบได้แค่องค์กรนิติบุคคล แต่ไม่สามารถหยุดชุดอุดมการณ์เช่นนี้ได้ และเราจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ซึ่งหลายคนที่ติดตามคลิปดังกล่าว ประเมินตรงกันว่า เหมือนกับ “แกนนำพรรคสีส้ม” ยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจมีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่รอไว้ รอเพียงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย ซึ่งคงต้องรอดูว่า อนาคตพรรคก้าวไกลจะเป็นอย่างไร ใครจะก้าวขึ้นม้าเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ หากพรรคต้องมีอันเป็นไป
ขณะที่ “ไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาตอบคำถามของสื่อที่ถามว่า หากได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค ต้องสู้กับ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) จะกลายเป็นการต่อสู้กันด้วยพลังหญิงว่า ถ้าท้ายที่สุด พรรคตัดสินใจเสนอชื่อตน และมีสมาชิกพร้อมจะเลือก การที่ ณ วันนี้ ประเทศไทย มีผู้นำพรรคการเมืองที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น คิดว่าน่าจะเป็นมิติใหม่ที่ดี นอกจากเป็นตัวแทนของประชาชนทุกฝั่ง ทุกเพศ ทุกวัย เราก็จะยิ่งมีมุมมองใหม่ๆ ต่อการเมืองที่อาจแตกต่างจากที่ผ่านมา ที่ผู้นำทางการเมืองเป็นผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ เราก็คิดว่าจะสร้างมิติใหม่ให้กับการเมืองไทยได้
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ไม่ติดใช่หรือไม่ ถ้ามีคนเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรค “ศิริกัญญา” กล่าวว่า “ค่ะ แล้วแต่ทางพรรค ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลถูกยุบ ได้เตรียมการไว้บางส่วน เราก็ไม่อยากให้กลายเป็นลางที่ไม่ดี แต่เราก็มีการเตรียมไว้แล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริง ก็พร้อมที่จะไปอยู่บ้านหลังใหม่ด้วยกัน”
คงพอคาดเดาได้แล้วว่า บุคคลที่จะเข้ามาถือธงนำ พรรคที่จะเข้ามาสานต่ออุดมการณ์ เครื่องจักรสีส้มเป็นใคร เพราะที่ผ่านมา “ศิริกัญญา” ก็มีบทบาทในการตรวจสอบนโยบายด้านเศรษฐกิจตลอด โดยเฉพาะโครงการแจกเงินหมื่น ภายใต้ “ดิจิทัล วอลเล็ต” รวมทั้งเตรียมตั้งพรรคไว้รองรับ หากต้องมีอันเป็นไป อันเนื่องมาจากถูกยุบพรรค ดังนั้นการแสดงความพร้อมกับการ “ถือธงนำทัพใหม่” ที่เข้ามาสานต่ออุดมการณ์พรรคก้าวไกล ย่อมหมายความว่า มีการพูดคุยและทาบทามกันไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นนักการเมืองหญิงคงไม่ออกตัวแรง
และถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ตรงกับ วันที่ 14 ส.ค.67 คือ คดีที่ 40 อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร้องให้ถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” ให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ อันเนื่องมาจาก กรณีลงนามแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า เป็นบุคคลซึ่งขาดคุณสมบัติ โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติและอ่านคำวินิจฉัย เวลา 15.00น.
คงต้องมารอลุ้น นายกฯที่ชื่อ “เศรษฐา” จะได้ไปต่อหรือไม่??? หรืจะหยุดเส้นทางในการเข้ามาทำงานการเมืองไว้เพียงแค่นี้
ต้องยอมรับว่า ถ้าคำตัดสินของ “เศรษฐา” เป็นไปในทางลบ จะส่งผลกระทบทางการเมืองมากกว่าคดียุบพรรคก้าวไกล อันเนื่องมาจาก “เศรษฐา” เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย ในการเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเมื่อต้องสิ้นสภาพไป รัฐบาลก็ต้องพ้นไปทั้งไปคณะ ต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลกันใหม่ ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองได้มากพอสมควร แกนนำรัฐบาลจะเปลี่ยนขั้วหรือไม่
แต่หากเครื่องจักรสีส้มมีอันเป็นไป จะมีบรรดาสส. ไหลเข้าไปอยู่พรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านอื่น ทำให้มีอำนาจต่อรองสูงหรือไม่
ยิ่ง “ทักษิณ” กลับมามีบทบาททางการเมือง เดินสายไปพบผู้บริหารท้องถิ่นและนักการเมืองบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง
เช้น เข้าไปมีบทบาทในการเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี นำมาสู่ชัยชนะของ “”ชาญ พวงเพ็ชร์” แต่ก็ทำให้พรรคแกนนำรัฐบาล มีรอยร้าวเกิดขึ้น เมื่อ “วัน อยู่บำรุง” ถูกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเรียกไปตำหนิ หลังปรากฏภาพ “วัน” ไปปรากฏตัวที่บ้านพัก “บิ๊กแจ๊ส-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ในระหว่างการนับคะแนนการเลือกนายกฯอบจ.ปทุมธานี จนทำให้บุตรชายของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” สส.ระบบบัญชี พรรคเพื่อไทย ยื่นใบลาจากพรรค ไปสังกัด “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) ขณะที่ “ร.ต.อ. เฉลิม” ก็ท้าทายให้พรรคเพื่อไทยขับออกจากพรรค ทั้งยังออกมาแถลงข่าวพาดพิง “ทักษิณ”
จึงยังไม่รู้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะจบลงอย่างไร ในเมื่อ “แพทองธาร” ยืนยันไม่มีนโยบายขับ “ร.ต.อ.เฉลิม” ออกจากพรรค
ขณะที่ วันที่ 22 ส.ค. จะเป็นวันครบกำหนดการพักโทษของ “ทักษิณ” ที่ศาลจะออกหมายปล่อยตัว ส่วนกรมคุมประพฤติก็จะมอบ “ใบบริสุทธิ์” ให้ และจะกลายเป็นประชาชนทั่วไป จึงต้องรอดูเมื่อถึงเวลานั้น จะเข้าไปมีตำแหน่งในพรรคหรือไม่ แม้ว่าในช่วงจัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 75 ปี “ทักษิณ” จะกล่าวถึงการเข้าไปมีบทบาทในพรรคเพื่อไทยว่า “เป็นเรื่องพ่อให้คำปรึกษาลูก ก็ห่วงบ้านเมือง เศรษฐกิจ วันนี้ชาวบ้านลำบาก และช่วยกันว่าจะพลิกฟื้นบ้านเมืองให้เร็ว ก็คิดกันอยู่”
คงต้องรอดูเมื่อถึงเวลานั้น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะบุตรสาว จะแต่งตั้งให้บิดาเข้าไปมีบทบาทในพรรคหรือไม่ โดยเฉพาะในฐานะ “ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย”
ส่วนกรณีปรากฏภาพ “ทักษิณ” พร้อมด้วย “อนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) รัฐมนตรีและสส.พรรคเพื่อไทย ข้าราชการระดับสูง ผู้บริหารหน่วยงารัฐวิสาหกิจ และนักธุรกิจด้านพนักงาน ที่แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท เขาใหญ่ ซึ่งเป็นรีสอร์ทของ อนุทิน” จนมีเสียงวิจารณ์ว่า มีการทำ “ปฏิญญาเขาใหญ่”
เพราะหลังจากนั้น “เศรษฐา” ก็เรียก “อนุทิน” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ไปหารือ โดยระบุว่า ให้ผลักดันพ.ร.บ.ควบคุมกัญชา หลังก่อนหน้านั้นจะนำกัญชาให้กลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของพรรคภูมิใจไทย เพราะนโยบายนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางด้านภาคธุรกิจ ถือเป็นธงนำของพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม “ทักษิณ” ชี้แจงว่า เรื่องปฏิญญาทำให้ตนวุ่นวายมารอบหนึ่งแล้ว ความจริงไม่มีอะไรเลย ถึงแม้จะเป็นนักการเมืองเก่า แต่หน้าที่ของตนคือสร้างความปรองดอง เพื่อให้การเมืองแข็งแรง และบ้านเมืองเดินหน้าได้ มากกว่าจะทำหน้าที่อื่นๆ ซึ่งหลายคนส่วนใหญ่ ก็ทำงานร่วมกันมา และการที่คนไปร่วมทานอาหารเฮฮาด้วย ก็จะเกิดความสามัคคีกันมากขึ้น จะได้ไม่มีเรื่องที่เข้าใจผิดกัน และเมื่อเวลามีเรื่องเข้าใจผิดกัน จับมานั่งคุยกันก็จบ และวันนี้ความสามัคคีบ้านเราสำคัญ เพราะลำพังแค่การแข่งขันกับต่างประเทศก็หนัก ถ้ายิ่งไม่สามัคคีกัน ยิ่งไปกันใหญ่ ฉะนั้นต้องทำให้ความสามัคคีเกิดขึ้นในชาติให้ได้
แต่การที่อดีตนายกฯ ไปกล่าวในระหว่างลงพื้นที่ที่จ.สุรินทร์ ระบุว่า “รัฐบาลหลังจากวันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป จะมีรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้เป็นผลประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เราต้องให้กำลังใจกัน วันนี้เป็นวันที่ดี เริ่มต้นทำสมองให้โปร่งใส จะได้แก้ปัญหาให้กับทุกคนได้ ให้ทุกคนมีแต่ความสุข” กลับถูกตีความ เหมือนต้องการดิสเครดิต “เศรษฐา”
เท่ากับว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลยังไม่สามารถสร้างงานผลงาน ให้เป็นรูปธรรม แต่พอถึงช่วงเดือนส.ค. หลัง “ทักษิณ” จะพ้นโทษ และเข้าไปมีบทบาทชี้แนะฝ่ายบริหารมากขึ้น ผลงานก็เริ่มปรากฏออกมา ยิ่งที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ภาวะการค้าขายตกอยู่ในภาวะซบเซา เพียงแต่รอโครงการแจกเงินหมื่น ภายใต้ “ดิจิทัล วอลเล็ต” ให้มีผลบังคับใช้เท่านั้น
จึงต้องลุ้นจะสร้างพายุหมุนได้จริงหรือไม่ แต่สำคัญที่สุดคือ หลังวันที่ 14 ส.ค.หัวหน้ารัฐบาลจะได้ไปต่อหรือไม่
หรือถ้าได้ไปต่อ “ทักษิณ” จะเปิดทางให้อยู่จนครบวาระหรือไม่ เพราะการออกมาวิจารณ์การทำงานหัวหน้ารัฐบาล โดย “วรชัย เหมะ“ ที่ปรึกษารองนายกฯ (ภูมิธรรม เวชยชัย) ด้วยถ้อยคำรุนแรง ยังกลายเป็นปริศนามาจนถึงวันนี้ เพราะมาถึงวันนี้ “วรชัย” ก็ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ถูกตำหนิและต่อว่าจากผู้บริหารพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับ “วัน อยู่บำรุง”
จนมีเสียงวิจารณ์ว่า หรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “สงครามตัวแทน”
เพราะเมื่อย้อนไปสมัย “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” ซึ่งก่อนหน้านั้น “ทักษิณ” ได้มอบหมายให้ “คนใกล้ชิด” ไปทาบทาม “สมัคร” ให้มารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) และในที่สุดก็คว้าชัยชนะได้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 50 ซึ่ง “นายสมัคร” ก็ได้รับตำแหน่งนายกฯ แต่ทำหน้าที่นายกฯได้ระยะหนึ่งเท่านั้น
จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง จากการจัดรายการ “ชิมไป บ่นไป” แต่ก็สามารถกลับมาทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลได้อีก ถ้าสภาผู้แทนราษฎรโหวตให้ความเห็นชอบ แต่วันที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ กลับมีการสั่งการจาก “ผู้มากบารมี” ไม่ให้สส.พรรคพลังประชาชนเข้าห้องประชุม จนทำให้การประชุมสภาฯต้องล่มไป
ทั้งๆที่ “สมัคร” ก็อยู่ในห้องประชุมสภาฯด้วย และในที่สุด “นัการเมืองอาวุโสรายนี้” ก็ตัดสินใจยุติบทบาททางการด้วยความชอกช้ำ
ซึ่งมีรายงานว่า ชะตากรรมของนักการเมืองอาวุโส เกิดจากงจากเล่นบท “คุณปันใจ” ไปมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ที่ถูกขนามนามว่า “แก๊งออฟโฟร์” ทำให้ “ผู้มากบารมี” ไม่พอใจ และผลักดัน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก “นายกฯสมัคร”
คงต้อรอลุ้นชะตากรรม “เศรษฐา” ที่เป็นนายกฯคนนอกตระกูล “ชินวัตร” ว่าในที่สุดจะซ้ำร้อย “สมัคร” หรือไม่ แม้จะผ่านกระบวนการตรวจสอบจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไปได้ เพราะยังต้องลุ้นการประเมินจาก “ทักษิณ” ซึ่งถือว่า ยากพอสมควร
เพราะเป้าหมายสำคัญคือ การส่งต่อตำแหน่งนายกฯ ให้ “อุ๊งอิ๊ง” หรือถ้าเห็นว่า “หัวหน้ารัฐบาล” ทำงานไม่ถูกใจ ก็ยังมี “ชัยเกษม นิติศิริ” อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง แม้จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ
แต่อีกนัยหนึ่ง “ผู้มากบารมี” อาจจะพอใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น ที่เพราะ “ล้วงลูก” ได้เต็มที่ ถึงต้องบอกว่า การเมืองในพรรคแกนนำรัฐบาล ยากกับการคาดเดา เช่นเดียวกับแกนนำพรรคฝ่ายค้าน แม้จะมีพรรคร้องรับ แต่ยังไม่รู้ต้องต้องเผชิญวิบากกรรมอะไรตามมาอีก
…………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”