ไม่รู้ว่า หลัง “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางกลับมาจากไปให้กำลังใจ “นักกีฬาไทย” ที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ต้องเจอข่าวร้ายให้ต้องมานั่งทำใจ หรือคอยลุ้นกับชะตากรรมที่ต้องเผชิญ หลังมีข่าว “พรรคเพื่อไทย” (พท.) จะยึดเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนของ “โควตาบิ๊กป้อม”
ด้วยเหตุ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มากบารมีในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจบทบาท “หัวหน้าของพรรคร่วมรัฐบาล” และ “คนใกล้ชิดบิ๊กป้อม” หลังมีความรู้สึกว่า ทำตัวเป็น “ปรปักษ์กับรัฐบาล” ซึ่งถ้ายังจำกันได้ วันที่รัฐสภามีการโหวต “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ประวิตร” และ “สมาชิกวุฒิสภา” (สว.) ที่อยู่ในสายบิ๊กป้อม ก็ไม่ได้เข้าประชุมร่วมโหวตให้
อีกทั้งยังมีข่าวเป็นระยะๆ ว่า หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐยังหวังโอกาสพลิกเกมเป็นนายกฯ หากหัวหน้ารัฐบาลต้องมีอันเป็นไป รวมไปถึงรอลุ้นผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 14 ส.ค. กรณีอดีต 40 สว. ซึ่งบางส่วนอยู่ในสายพล.อ.ประวิตร ไปยื่นร้องให้ตรวจสอบ “เศรษฐา” สืบเนื่องจากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
ก่อนหน้านั้น “ทักษิณ” ให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งที่ “บ้านเมืองวุ่นวาย” เกิดขึ้นจาก “คนในบ้านป่า” ทำให้ถูกตีความ ต้องการพาดพิง “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” แม้พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่มีความเคลื่อนไหวของคนใกล้ชิดอย่าง “สามารถ เจนชัยจิตวนิช” ออกออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า พร้อมสนับสนุนให้ “บิ๊กป้อม” เป็นนายกฯ และยังวิจารณ์การทำงานหัวหน้ารัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ไม่พอใจ ออกมาตำหนิและระบุว่า เป็น “คนนอก” อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในพรรค
เพราะอย่างที่หลายคนรับรู้ “ร.อ.ธรรมนัส” มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “ทักษิณ” อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้ารัฐบาล ดูแลกระทรวงเกษตรฯแบบมีอำนาจเต็ม ไม่มี “รมช.จากพรรคอื่น” โดยมีข่าวในการเลือกตั้งครั้งหน้า อาจนำพา สส.บางส่วนย้ายกลับไปอยู่เพื่อไทย
ด้าน “สามารถ เจนขัยจิตวนิช” ในฐานะสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณี “ร.อ.ธรรมนัส” แสดงความไม่พอใจต่อการเคลื่อนไหว ที่หากไม่หยุดจะใช้มติกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ขับออกจากพรรคว่า ไม่ได้ทำอะไรให้พรรคเสียหาย สิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ก็ทำในนามส่วนตัว ตามเสรีภาพบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่เคยใส่เสื้อพรรคพลังประชารัฐไปด่านายกฯ แค่ออกมาพูดแทนประชาชนที่วันนี้กำลังเดือดร้อนเรื่องปากท้อง
“ถ้าท่านนายกฯเศรษฐา ทวีสิน พูดว่าเสียหาย คุณเศรษฐาก็ฟ้องผมได้ แต่ปรากฏว่า ตั้งแต่พูดมาจนถึงปัจจุบัน คุณเศรษฐาไม่เคยฟ้องผมแม้แต่คดีเดียว ไม่เคยมี สส.หรือสมาชิกพรรคพท.ออกมาโต้ตอบผมแม้แต่คนเดียว กลับกันพรรคพลังประชารัฐกลับเดือดร้อนแทนนายกฯ ผมเลยงง ว่าพรรคเป็นพรรคลูกไล่ หรือพรรคร่วมรัฐบาล คำว่า พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่พรรคลูกไล่ หรือพรรคสาขา พรรคพลังประชารัฐเรามีแคนดิเดตนายกฯ คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ถ้าจะเชียร์ให้พลอ.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ แล้วผิดหรือ” สามารถ กล่าว
ก่อนหน้านี้ “สามารถ” เป็นคนดีลให้ “วัน อยู่บำรุง” บุตรชายร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ “ทักษิณ” ไม่พอใจ “พล.อ.ประวิตร” เพราะนักการเมืองอาวุโสจากบ้านริมคลอง ออกมาแถลงโจมตี “อดีตนายกฯ” แถมยังทวงบุญคุณ
แม้พรรคเพื่อไทยจะประกาศไม่ขับ “ร.ต.อ.เฉลิม” ตามความต้องการ แต่หนทางที่จะทำกิจกรรมรวมกัน คงเป็นไปได้ยาก ซี่งวันที่ “วัน อยู่บำรุง” สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ไม่ได้อยู่ร่วมในกิจกรรม พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ว่า “เป็นเรื่องของพล.อ.ประวิตร” เหมือนกับไม่ต้องการรับรู้ กับการเข้ามาร่วมงานทางการเมืองในพรรคเดียวกัน กับบุตรชายร.ต.อ.เฉลิม
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในหน้าสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดียต่างๆ กรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้ “สันติ พร้อมพัฒน์” รองหัวหน้าพรรค เรียก “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” สมาชิกพรรค มาพูดคุยทำความเข้าใจในกรณีที่มีการโพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นพาดพิง ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาลนั้น “สันติ” ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับ “สามารถ” โดยได้ตักเตือนมารยาททางการเมือง ในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และ “สามารถ” ได้ขอโทษพรรค ยืนยันที่จะหยุดการกระทำทุกอย่าง ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการร่วมรัฐบาล ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
นั่นหมายความว่า “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ที่เคยยืนข้าง “สามารถ” อาจรับรู้ความไม่พอใจของ “พรรคแกนนำรัฐบาล” เลยมอบหมาย “สันติ” ไปทำความเข้าใจ ให้ “สามารถ” ยุติคความคลื่อนไหว หลัง “ไผ่ ลิกค์” สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ภาพผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นภาพถ่าย สส.พลังประชารัฐกว่า 30 คน มีแกนนำ อาทิ ร.อ.ธรรมนัส, สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ที่รัฐสภา พร้อมระบุข้อความว่า “พวกเราพี่น้องพรรคพลังประชารัฐ อยู่รวมกัน เป็นหนึ่งเดียว ยืนยันไปในทิศทางเดียวกัน ปลดแน่นอน คนที่สร้างความวุ่นวายครับ เซ็นกันทั้งพรรคทุกคนครับ”
ซึ่งหมายความว่า จากสส.ทั้งหมดของพรรคพปชร. 40 คน แต่ 30 คน มีแนวทางเดียวกับเลขาธิการพลังประชารัฐ เท่ากับว่า อำนาจที่แท้จริงในการบริหารพรรคพลังประชารัฐ อาจไม่ได้อยู่ที่ “บิ๊กป้อม” แล้ว
แม้กระทั่ง “สันติ” ซึ่งเคยมีปัญหาขัดแย้งกับ “ร.อ.ธรรมนัส” ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนำแผนโหวตคว่ำหัวหน้ารัฐบาลในสภาฯ ไปแจ้งให้พล.อ.ประยุทธ์ทราบ จนถึงขั้นเกือบวางมวยกับ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ยังยืนอยู่ข้างเดียวกัน
นั่นหมายความว่า ตำแหน่งรัฐมนตรี ที่เป็นสัดส่วนของ “บิ๊กป้อม” อาจเหลือเพียง “บิ๊กป๊อด-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค ซึ่งเป็นน้องชาย
ในระหว่างที่มีข่าวพรรคแกนนำรัฐบาลอาจปรับครม.ในส่วนของ “พล.อ.ประวิตร” ก็มีข่าว “พรรคประชาธิปัตย์” (ปชป.) ได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ก็ตอบตกลงแล้ว โดยพรรคเก่าแก่เสนอเก้าอี้รัฐมนตรีไป 3 ตำแหน่งคือ “1 รัฐมนตรีว่าการ-2 รัฐมนตรีช่วย”
แต่พรรคเพื่อไทยจะให้เพียง “1 รัฐมนตรีว่าการ-1 รัฐมนตรีช่วย” ซึ่งในที่สุด หากมีการพูดคุยกันในขั้นตอนสุดท้าย เชื่อว่า ประชาธิปัตย์จะยอมรับเงื่อนไข เพราะในวันที่มีการโหวตเลือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯ สส.พรรคประชาธิปัตย์ 16 เสียงก็โหวตให้ความเห็นชอบ เพียงแต่จากจำนวนสส.ทั้งหมด 25 คน อาจไปร่วมสนับสนุนรัฐบาลไม่ครบทั้งหมด
เพราะ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค มี 21 เสียง อีก 4 เสียงประกอบด้วย “ชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-สรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา” (ลูกชายนิพนธ์ บุญญามณี) คงไม่ยอมเข้าร่วมรัฐบาลด้วยแน่ๆ จึงต้องรอดูฝันจะเป็นจริงหรือไม่
ส่วน “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ทำหนังสือถึงนายกฯว่า โควต้าพรรคที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง หากมีการปรับครม. พรรคขอเสนอ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่า เรื่องยังไม่ถึงมือของตน ตอนนี้เดือน ส.ค.คิดว่ามีเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบตุลาการเยอะไปหมด จริงๆ แล้วต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อนดีกว่า ให้หลายเรื่องจบไปก่อนดีกว่า แต่แน่นอน ถ้าเกิดพรรคร่วมรัฐบาลเสนอมา เราก็ต้องพิจารณา แต่ว่าคงไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะยังมีเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อน
นั่นหมายความว่า ในเดือนส.ค. คงยังไม่มีการปรับครม. เพราะวันที่ 7 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) จากนั้นวันที่ 14 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในคดี “เศรษฐา” แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ
เชื่อว่าหัวหน้ารัฐบาลคงปรับครม. ภายหลังการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯแล้ว ซึ่งคงเกิดขึ้นในช่วงเดือนต.ค.
นั่นหมายความว่า ยังมีเวลาอีก 1 เดือนที่ “พล.อ.ประวิตร” จะทำความเข้าใจกับ “ทักษิณ” และ “”คนใกล้ชิด” เพื่อยืนยันว่า ไม่ได้มีเป้าหมาย “บ่อนแซะ” หรือต้องการ “ดิสเครดิตรัฐบาล” เพราะใครก็เชื่อว่า บุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินในการปรับครม. นอกจาก “เศรษฐา” คงหนีไม่พ้น “ทักษิณ”
ยิ่งที่ผ่านมา แม้รัฐบาลจะทำงานผ่านไป 1 ปีแล้ว แต่คะแนนนิยมทั้งพรรคและตัวบุคคล ก็ยังตามหลัง “พรรคก้าวไกล” และ “พิธา ลื้มเจริญรัตน์” ดังนั้น “อดีตนายกฯ” คงไม่ปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเหมือนทุกวันนี้ เพราะเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้า หวังผลักดัน “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่นายกฯ
ต้องรอดูความเคลื่อนไหวของรัฐบาล จะมีการเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หลังผ่านพ้นคดีสำคัญทางการเมือง แต่ถ้าวันที่ 14 ส.ค. “เศรษฐา” ไม่ได้ไปต่อ ก็ต้องล้างไพ่ใหม่ แต่ถ้าได้ไปต่อ การปรับครม.คงหนีไม่พ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” ก็ออกมาทวงเก้าอี้แล้ว
แต่พรรคที่ถูกจับตามองมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “พลังประชารัฐ” อยู่ที่ว่า “ผู้มากบารมี” จะเล่นบทโหด ปรับโควต้ารัฐมนตรีในส่วนของ “บิ๊กป้อม” ออกไปหรือไม่ แต่อย่าลืม “พล.ต.อ.พัชรวาท” มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “นายหญิง” เพราะเคยดูและช่วยเหลือกันมาก่อน จึงอาจทำให้…หนทางถูกเขี่ยวทิ้งพ้นครม. อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะเวลาที่เหลืออีก 1 เดือน การเมืองไทยมีการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
แต่ที่แน่ๆ บารมีและการยอมรับ “บิ๊กป้อม” ลดน้อยถอยลง จนไม่มีพลังกดดันเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
……….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย… “แมวสีขาว”