คงไม่มีใครคาดคิดว่า การหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี จะมีความเข้มข้นดุเดือด และสร้างสีสันทางการเมืองได้มาก อย่างเป็นที่ข่าวมาตลอดเกือบสองสัปดาห์ ยิ่งไปเทียบเคียงกับการเลือกตั้งผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่อื่นๆ
แม้พรรคการเมืองจะส่งคนลงสมัคร แต่บรรยากาศการหาเสียง หรือการโจมตีกันของพรรคคู่แข่ง ก็ไม่หนักหน่วง เท่ากับจังหวัดที่ถูกยกให้เป็น “เมืองหลวงของคนเสื้อแดง” ซึ่งถือเป็นฐานเสียงทางการเมืองของ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ในฐานะแกนนำรัฐบาล
แต่ประเด็นที่หลายคนเชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้การช่วงชิงเก้าอี้นายกอบจ.อุดรธานี “ลุกเป็นไฟ” คือการปรากฏตัวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ก่อกำเนิดพรรคไทยรักไทย (ทรท.) มาจนถึงพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งในการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ยึดครองพื้นที่ภาคอีสานมาโดยตลอด
แม้ในการเลือกตั้งสส.เมื่อปี 2566 พรรคแกนนำรัฐบาลจะได้สส.น้อยลงกว่าเดิมไปมากพอสมควร ไม่แลนด์สไลด์อย่างที่คาดหมายไว้ ส่งผลทำให้ต้องตกมาเป็นพรรคที่ได้เสียงเป็นลำดับ 2 โดยจำนวนสส.ในพื้นที่ภาคอีสาน มีทั้งหมด 133 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยได้ไป 75 ที่นั่ง, พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 35 ที่นั่ง, พรรคประชาชน (ปชน.) 7 ที่นั่ง, พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 6 ที่นั่ง, พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) 5 ที่นั่ง, พรรคไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปัตย์ 2 ที่นั่ง และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพน.) 1 ที่นั่ง
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้า “ทักษิณ” จะเปิดตัวเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ให้ “ป๊อป-ศราวุธ เพชรพนมพร” อดีตสส.อุดรธานี ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย หมายเลข 2 และถือเป็นการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรกในรอบ 18 ปี หลังจาก หลบหนีคดีไปต่างประเทศ และเพิ่งกลับไทยมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา
โดยจุดที่เป็นประเด็น และถูกตอบโต้จาก “พรรคสีส้ม” ไล่ตั้งแต่คำปราศรัยของ “ทักษิณ” ที่ว่า “ถ้าไม่ปฏิวัติผมวันนั้น ก็หายจนไปนานแล้ว อุตส่าห์ปฏิวัติตั้ง 2 รอบ นึกว่าจะแก้ปัญหาได้ กลับสร้างปัญหาขึ้นมาอีก วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเอาความสุข ความมั่งคั่งของคนไทยกลับคืนมา ตอนนี้รถไฟความเร็วสูงจากจีนมาถึงลาวแล้ว เดี๋ยวจะต่อเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งต้องผ่านอุดรธานี ดังนั้นอุดรธานีต้องเตรียมรองรับนักท่องเที่ยว ปรับปรุงเรื่องการท่องเที่ยวให้เจริญและสินค้าจากอุดรธานีก็จะไปถึงฉงชิ่ง อุดรธานีก็จะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่ง”
หรือคำปราศรัยที่ว่า “อยู่เมืองนอกมา 17 ปีเกือบตาย เพราะโดนพวกมันแกล้งมาตลอด ครั้งแรกก็โมโห ครั้งที่สองก็รู้สึกอะไรวะ วันนี้ที่เล่าให้ฟัง เพราะกฎหมายที่ออกมาเฮงซวย เพราะมันเขียนกฎหมายไป เห็นหน้าผมไป จากกันยังไงดีวะ สุดท้ายจะกันยังไง ก็ต้องกันที่ประชาชน ประชาชนเขายังคิดถึงตนอยู่ เลือกตั้งทีไรก็ชนะ คราวที่แล้วมีอุบัติเหตุนิดหน่อย รับรองคราวหน้าไม่มีแพ้ ประเมินแบบผู้สันทัดกรณีเลือกตั้งคราวหน้า เพื่อไทยไม่มีต่ำกว่า 200 เสียง ยังไม่เลือกตั้ง แต่ดูจากความตั้งใจของนายกฯอิ๊งค์ (แพทองธาร ชินวัตร) และแผนงาน รับรองเลยว่า สบายมาก ไม่ต้องอาศัยพระเอกหนังเกาหลีมาช่วย” ก่อนถามด้วยว่า “คู่แข่งคือเบอร์ 1 ใช่หรือไม่”
“ทักษิณ” ยังเย้ยหยันด้วยว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) อุตส่าห์บินจากอเมริกามา เพราะกลัวแพ้ อีกทั้งเขาต้องพิมพ์รูปคู่ ทั้งกับพิธาและเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) ขณะที่ศราวุธลงรูปเดียวคู่กับนายกฯอิ๊งค์ ไม่ต้องใช้รูปคู่กับผม มันได้เปรียบ เห็นหรือไม่ เพราะเขาต้องพิมพ์สองต่อ เราประหยัดกว่า”
แต่ที่เป็นประเด็นร้อนมากที่สุด เมื่อ “อดีตนายกฯ” พูดถึงเรื่อง การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 โดยกล่าวว่า “คดี 112 เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้สัตยาบันไว้ว่า เราจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะไม่แตะเรื่อง 112 แต่จริงๆ แล้ว ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ผมก็เป็นเหยื่อรายหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 คนที่รับคดี ครั้งแรกบอกว่า เดี๋ยวจะหาว่าไม่จงรักภักดี ฟ้องไปก่อน ทั้งที่หลักฐานไม่มี คนที่สองไม่ฟ้องเดี๋ยวโดนอีก ก็ฟ้อง ไม่ได้ดูความถูกต้องของพยานหลักฐาน จึงทำให้การจงรักภักดีและรักสถาบันไม่ถูกต้อง การจงรักภักดีที่ถูกต้องคือการรักษากฎหมายที่เป็นธรรม นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่ง่ายในการแก้ซึ่งต้องใช้เวลา”
จากนั้นเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในแต่ละเหตุการณ์ มีบริบท เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทั้งเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549, 2557 จนถึงพรรคการเมืองโดนยุบ เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 “ทักษิณ” กล่าวว่า “จริงๆ แล้วเคยคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ว่าผมก็โดนยุบ 3 พรรค ต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ดังนั้นขอให้เราช่วยทำงานให้บ้านเมือง อย่าพยายามไปรื้อโครงสร้างให้มากเกินไป ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยหลักการ และเอาบ้านเมืองให้อยู่ได้มันจะดีที่สุด อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่คนไทยเคารพนับถือ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสถาบัน เราต้องจรรโลงอย่างเดียว ผมไม่ได้บอกว่า นายธนาธรหรือพรรคก้าวไกล ไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ”
คำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” เหมือนเป็นการโยนระเบิดเข้าใส่ “นายธนาธร” เกี่ยวกับแนวคิดการไปรื้อโครงสร้าง ซึ่งหนีไม่พ้นความพยายามในการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องและคุ้มครองสถาบัน ซึ่งที่ผ่านมาทำให้พรรคก้าวไกลต้องเผชิญวิบากกรรม ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) มีมีมติยุบพรรค จนกลายมาเป็นพรรคประชาชน
รวมไปถึง “ดีลฮ่องกง” ที่หลังการเลือกตั้งปี 2566 ปรากฏข่าว “ธนาธร” บินไปพบ “ทักษิณ” เพื่อตกลงจับมือกันในการจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย แต่สุดท้ายดีลนี้ก็ไม่เกิดขึ้นจริง
ต่อมา “ธนาธร” ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงทันที กรณีนายทักษิณพาดพิงเรื่องการแก้มาตรา 112 ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีว่า “คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ว่าเหตุผลที่ก้าวไกลและเพื่อไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เลย สิ่งที่คุณทักษิณกล่าว อาจทำให้คนทั่วเข้าใจไปได้ว่า ผมเคยคุยกับคุณทักษิณเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือมีความคิดรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่ได้พูดคุยตกลงอะไรกันเรื่องนี้เลย การพูดคลุมเครือแบบที่คุณทักษิณกล่าวในวันนี้ ยังเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งต่อพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน เพื่อพยายามสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชน ว่าเหตุที่ดีลร่วมรัฐบาลล่ม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลไม่ยอมลดราวาศอกเรื่อง 112”
“ธนาธร” ยังอธิบายต่อว่า “112 ไม่ใช่เงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ว่าก้าวไกลเสนอให้การแก้ไข 112 เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล และเมื่อถูกทักท้วงจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นแล้ว ก็ไม่ยอมถอย 112 ไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่มีอยู่ในเอ็มโอยูร่วมรัฐบาล ที่เซ็นร่วมกันและเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ คุณทักษิณรู้ดีที่สุด ไม่ใช่แกนนำก้าวไกลมุทะลุ ไม่มีวุฒิภาวะ แต่มีเหตุผลอื่นที่จะไม่ร่วมกัน แล้วใช้ 112 เป็นข้ออ้างต่างหาก ในทางกลับกัน คุณทักษิณเอง น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาโครงสร้างดีที่สุด แทนที่จะร่วมแก้ปัญหา กลับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล เราไม่เคยโฆษณาหรือใช้เรื่อง 112 เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์เพื่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง เราตอบหรือพูดเรื่อง 112 อย่างซื่อตรงเมื่อ ถูกสื่อมวลชนหรือประชาชนถามเท่านั้น
ผมทราบดีว่า การแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมาหลายสิบปีของประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ “ลัดขั้นตอน” ได้ แต่ต้องทำงานความคิดอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมเห็นชอบร่วมกัน และแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่แก้ปัญหาโครงสร้าง ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป ประเทศจะเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีแต่การให้คนในสังคมมีวุฒิภาวะพอ กล้ายอมรับปัญหา เผชิญหน้ากับมัน และค่อยๆ พูดคุยหาทางออกร่วมกัน”
ขณะที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาเปิดเผยผ่านรายการ “คมชัดลึก” ถึงการหารือระหว่าง “ทักษิณ” กับ “ธนาธร” ที่เกาะฮ่องกง โดยเนื้อหาพูดถึง การปรับโครงสร้างประเทศ ทั้งเรื่องการปฏิรูปกองทัพ เสนอให้รมว.กลาโหมมีอำนาจแต่งตั้ง ผบ.ทบ. การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร หาช่องทางลดการผูกขาดกลุ่มทุนพลังงาน “ยืนยันไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องประเด็นการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112” และตั้งข้อสงสัยคนที่ปล่อยข่าวการเข้าพบนายทักษิณของนายธนาธร ก่อนหน้านี้ว่า “น่าจะเป็นฝ่ายที่ใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ”
จากนั้นการลงไปช่วยหาเสียงของผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคประชาชน โดย “ทนายแห้ว-คณิศร ขุริรัง” ต่างออกมา ไล่ถล่ม “ทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่ง “พิธา” ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตคนติดตาม “ทักษิณ” สมัยทำหน้าที่เป็นนายกฯ ซึ่งที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงการวิจารณ์อดีตนายกฯมาตลอด ก็ยังออกมาตอบโต้ “ทักษิณ” อย่างรุนแรง
โดย “พิธา” ปราศรัยตอบโต้ ตอนหนึ่งว่า “คุณทักษิณ บอกว่าประชาชนยังไม่หายจน เพราะถูกยึดอำนาจไป 2 ครั้ง คุณทักษิณพูดถูก แต่ทำไม ไปจับมือกับพรรคจากรัฐประหาร อันนี้ตนเองไม่เข้าใจจริงๆ พี่น้องเข้าใจหรือเปล่า คุณทักษิณ ก็บอกว่า รู้อยู่แล้วปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความยากจนประชาชนตลอด 18 ปีที่ผ่านมา มาจากการทำรัฐประหาร เสร็จแล้วสละมือกับฝ่ายประชาธิปไตย ไปจับมือกับพรรค 2 ลุง ไปจับทำไม แบบนี้ไม่อยากจะบอกว่า “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” หรือเปล่า???”
เช่นเดียวกับ “ชัยธวัช ตุลาธน” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า “สุดท้าย ไม่พูดไม่ได้ เพราะฟังนายทักษิณแล้ว มันคันหัวใจ ที่บอกว่า “เกลียดพวกพ่อค้ายามาก ถ้าเจอจะเรียกมา” จึงถามว่า เรียกมาร่วมรัฐบาลหรือไม่ “พ่อค้าแป้งยังเป็นรัฐมนตรีได้” นักการเมืองที่อยู่ในพรรคร่วมท่าน ใครที่มีเอี่ยวกับ “ทุนเทา-บ่อนพนัน-ยาเสพติด” จัดการให้หมดเด็ดขาด ทำไมไม่ทำ และยังดูถูกพี่น้องชาวอุดรธานี และน่าสงสัยว่าจะจัดการปัญหายาเสพติด และไว้ใจได้อย่างไร ในเมื่อภรรยาของว่าที่ผู้สมัคร อบจ. ยังมีหุ้นกับนายตู้ห่าวอยู่เลย”
ขณะที่ก่อนหน้านั้น กรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ที่มี “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธานกมธ.ฯ ก็ออกมาตรวจสอบกรณีที่กรมราชทัณฑ์ ให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์มาผ่านมา 1 ปีแล้ว หลังถูกวิจารณ์แกนนำฝ่ายค้าน เล่นบทฮั้วกับแกนนำรัฐบาล เพราะมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทำให้คะแนนนิยมพรรคปชน.ตกลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อดูเป้าหมายของ “ทักษิณ” ที่วาดหวังในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าพรรคเพื่อไทยต้องได้สส. 200 เสียงขึ้นไป ซึ่งคงต้องต้องสู้กับพรรคประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อวางเป้าหมายได้สส. 270 เสียง อีกทั้งเมื่อ “ทักษิณ” พาดพิง “ธนาธร” เกี่ยวกับเรื่องการรื้อโครงสร้างประเทศให้มากเกินไป นั่นหมายความว่า ความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสอง คงไม่เหมือนเดิม
ยิ่ง “ทักษิณ” ถูกมองว่า เป็นผู้นำพรรคการเมืองที่อยู่ใน “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” เพราะเกี่ยวข้องกับ “ดีลลับ” และอาจหมายถึงความอยู่รอดของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล และการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ในอนาคต
คงต้องบอกว่า หนทางที่จะเห็น “พรรคสีส้ม” กับ “พรรคสีแดง” ร่วมงานกัน ในฐานะฝ่ายบริหารในอนาคต คงยากที่จะเกิดขึ้นจริงๆ
……………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”