นับตั้งแต่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะ หัวหน้าพรรค อยู่ในสภาพอกแตก สส.ส่วนหนึ่ง นำโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตเลขาธิการพรรค นำพา สส. กว่า 20 ชีวิต แยกตัวออกไปขับเคลื่อนทางการเมือง
โดยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลภายใต้การนำของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปดูแล โดยมอบหมาย “อาจารย์แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ทำหน้าที่เป็น รัฐมนตรีว่าการฯ
จากนั้นกระแสด้านลบก็ถาโถมเข้าใส่ “บ้านป่ารอยต่อ” อย่างต่อเนื่อง เหมือนมีความพยายามของ “ใครบางคน” ต้องการทำให้ “ฐานที่มั่นทางการเมือง” ของ อดีตรองนายกฯที่มีอำนาจทางการเมืองมา 8 ปีเต็ม อยู่ในภาวะระส่ำระส่าย หวังต้องการ “ปิดบ้านป่าฯ” เพื่อให้สส.ที่เหลืออยู่ประมาณ 20 คนไปหา “บ้านใหม่” สังกัด
ยิ่ง “พล.อ.ประวิตร” อายุ 80 ปีแล้ว “พลัง” ในการทำงานก็ถดถอยลง “อำนาจบารมี” ก็เสื่อมลงไปตามกาลเวลา อีกทั้งพรรคพลังประชารัฐก็ยังใช้วิธี “นิติสงคราม” มี “นักร้อง” ที่มีความชำนาญทางกฎหมายอย่าง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” คอยร้องเรียนตรวจสอบ หัวหน้ารัฐบาล และ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มากบารมี และ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในประเด็นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีเสียงร่ำลือว่ามี “ดีลลับ” ในการตั้งรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยก็คงประมาทไม่ได้ เหมือนกรณีวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับ “เศรษฐา ทวีสิน” จนทำให้ต้องพ้นจากสถานะหัวหน้ารัฐบาล เพราะไปแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรี ซึ่งช่วงแรกใครก็คิดว่า “อดีตนายกฯ” จะรอด แต่ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ก็มีมติ 5:4 เสียง ให้ “เศรษฐา” พ้นจากตำแหน่ง
ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐเรียกร้องให้ไทยยกเลิก “เอ็มโอยู 44” ซึ่งทำข้อตกลงกับ “กัมพูชา” ไว้ในสมัย “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ โดยอ้างว่า เราอาจเสียเปรียบในเรื่องดินแดน หากมีการเจรจาเกิดขึ้น
ทาง “พรรคแกนนำรัฐบาล” ก็ออกมาตอบโต้เป็นระยะ รวมถึงกรณี “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหว ตรวจสอบ “บิ๊กป้อม” เรื่องการขาดประชุมสภาฯ แม้จะอ้างเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใครที่ติดตามการเมือง ต่างก็ออกมองออกว่า เป็นการเอาคืนทางการเมือง ซึ่งมีทั้ง การเดินเกม “ใต้ดิน” และ “บนดิน”
รวมทั้งตำแหน่ง ประธานบอร์ดคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในแวดงวงกีฬา และมีงบประมาณมากพอสมควร ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ทำหน้าที่อยู่ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ หลังต้องพ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่ง นายกสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย (ชื่อเดิม : สมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย) ให้กับ “บิ๊กสุ่น-พล.ท.บุญชัย เกษตรตระการ” แบบขาดลอย 22 ต่อ 231 เสียง
เมื่อไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาใดๆ ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการโอลิมปิคฯกำหนดไว้ จึงต้องรอดูทีมงานอดีตรองนายกฯ จะแก้เกมอย่างไร
เพราะตำแหน่งนี้มีความหมาย ถือเป็นหน้าเป็นตา ถ้า “พล.อ.ประวิตร” จะรักษาไว้ไม่ได้ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึง “บารมี” ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งการหลุดจากตำแหน่งครั้งนี้ ก็มีเสียงร่ำลือเป็นการเดินเกมของ “นักการเมืองบางคน” ที่เคยร่วมงานทางการเมืองกันมา เพื่อหวัง “ลดบทบาท” และไม่ต้องการให้หัวหน้าพรรคพปชรมีบทบาทในสังคม และสร้างชื่อเสียงได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่มีความพยายามเชื่อมโยง เข้ามาเกี่ยวข้องกับ “บิ๊กป้อม” อย่างต่อเนื่อง หลังตำรวจได้จับกุม “สามารถ เจนชัยจิตรวณิช” และ “วิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์” 2 ผู้ต้องหา “แม่-ลูก” ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน สบคบกันฟอกเงิน รวมทั้งเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ เมื่อพบว่ามีเงินจาก “ผู้บริหาร ดิ ไอคอน” ไหลเข้าบัญชี และจากการตรวจสอบขยายผล พบว่า มีเงินเข้าบัญชี “สามารถ” และ “มารดา” นับร้อยล้านบาท
ซึ่งก่อนหน้านั้น “สามารถ” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และออกมาตอบโต้ใครก็ตาม ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ “พล.อ.ประวิตร” จนถูกมองว่าเป็น “ลูกรักคนหนึ่ง” แต่หลังจากมีเรื่องคดีความ มีคลิปเสียงหลุดออกมา “สามารถ” ก็ยื่นไปใบลาออกจากเป็นสมาชิกพรรค เพราะไม่อยากให้เกิดภาพลบกับพรรคต้นสังกัด
จากนั้น “สิระ เจนจาคะ” อดีตสส.พรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายสำนัก ทำนองว่า มีคนจากบ้านป่า พยายามโทรศัพท์ให้ “ผู้ใหญ่บางคน” ช่วยเหลือ
นอกจากนี้ “ไผ่ ลิกก์” สส.ในซีกของ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ออกมาไล่บี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขยายผลในการตรวจสอบว่า เส้นเงินของ “สามารถ” เชื่อมโยงถึงใคร
นอกจากนี้ “สิระ” ยังออกมาพูดถึง “สาวคนสนิท” ของ “บิ๊กการเมือง” ที่อาจไปเกี่ยวข้องกับบางคดี
ต่อมา “ธนดล สุวัณณะฤทธิ์” ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงเกษตรฯ ในฐานประธานคณะทำงานการขับเคลื่อนการตรวจสอบและพิจารณาความผิดเกี่ยวกับผู้ได้รับการจัดที่ดินและผู้ถือครองที่ดินโดยมิชอบในเขตปฏิรูปที่ดิน ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อบางสำนักว่า…“หลังมีการเข้าตรวจไร่ภูนับดาว ต่อมาปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี ขอย้ายตัวเองไปอยู่พื้นที่อื่น อ้างปัญหาเรื่องสุขภาพ ต่อมาปฏิรูปที่ดินคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่แทนแล้ว ยังมีการให้รีสอร์ตทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดิน แทนที่จะดำเนินคดี จึงได้นำเรื่องแจ้งรมว.เกษตรฯ จนมีคำสั่งย้ายปฏิรูปที่ดินคนดังกล่าวออกจากพื้นที่”
“การตรวจสอบรีสอร์ตแห่งนี้อย่างละเอียด จนไปพบว่า มีการเปิดบริษัทเป็นทางการ มีกรรมการบริษัท 1 คน โดย 1 ใน 3 คนนั้น คือนักธุรกิจชื่อดัง เป็นผู้บริหารบริษัทที่เกี่ยวกับการเงิน และพบว่า มีเงินจากบริษัทภูนับดาว โอนเข้านักธุรกิจชื่อดังคนนี้ จึงเชื่อว่าเป็นตัวการหลักในการทำรีสอร์ตดังกล่าว และที่สำคัญในการตรวจสอบทางลับ พบว่ามี “หญิงสาวคนสนิท” กับ “อดีตรองนายกฯคนหนึ่ง” เข้าๆ ออกๆ บริษัทแห่งนี้บ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้อง จนไปพบเส้นทางการเงินที่ถูกโอนจากบริษัทของนักธุรกิจผู้บริหารรีสอร์ต เข้าบัญชีของ “หญิงคนสนิทอดีตรองนายกฯ” เป็นจำนวน 5 ครั้ง ในวันเดียวกัน ครั้งละ 2 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 10 ล้านบาท ส่งข้อมูลไปให้กับ ปปง.เพื่อดำเนินการต่อไป เชื่อว่า ในเดือนหน้าจะมีข่าวใหญ่ระดับบิ๊กแน่นอน” ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ กล่าว
สำหรับ “ธนดล” เคยเป็นที่ปรึกษารมว.เกษตรฯ สมัยร.อ.ธรรมนัสทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ และทำงานต่อเนื่องมาจนถึง “อาจารย์แหม่ม” ทำหน้าที่รมว.เกษตรฯ ซึ่งจากการเปิดเผยดังกล่าว ทำให้สื่อเกาะติดเรื่องนี้ พยายามตรวจสอบว่า “หญิงสาวคนนี้เป็นใคร” เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนไหน แม้ไม่มีการเปิดเผยชื่อออกมา แต่ในทางการข่าว ก็พอทราบตัวตนที่แท้จริง เพียงแต่ติดขัดในเรื่องข้อกฎหมาย
โดยมีรายงานว่า เหตุผลเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เป็นเพราะสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ได้เรียกให้ “หญิงสาวคนดังกล่าว” ไปชี้แจงถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ยอมเดินทางมาชี้แจง
อย่างไรก็ตาม “วนาพร พรกิติพงษ์” ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ความว่า “ตามที่ปรากฎข่าวสื่อออนไลน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ พาดพิงบริษัท เรื่องการโอนเงินจากบริษัทเป็นจำนวน 10 ล้านบาทนั้น บริษัทฯของชี้แจงว่า เป็นการโอนเงินเพื่อชำระหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ที่ออกวันที่ 27 ม.ค.64 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 13 มิ.ย.66 โดยจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ทั้งสิ้นจำนวน 459 ราย จำนวนเงินรวม 1,450 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดไถ่ถอนตามปกติ ทั้งนี้บริษัทฯ รวมถึงบริษัทในกลุ่ม มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เเละยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่”
นั่นหมายความว่า การโอนเงินให้กับ “หญิงสาวคนดังกล่าว” เป็นการชำระเงินให้ผู้ถือหุ้นกู้ โดยพบว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.66 บริษัทศรีสวัสดิ์ ได้โอนเงินให้จำนวน 5 ครั้ง ครั้งละ 2 ล้าน รวมเป็น 10 ล้านบาท แต่แม้เรื่องนี้จะจบ ก็ยังมีประเด็นใหม่…งอกออกมา อันเนื่องจากมาจาก “ปปท.” เคยเรียกให้หญิงคนดังกล่าวมาชี้แจง 2 ครั้ง แต่ไม่เดินทางมา จึงส่งเรื่องให้ทาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบ และไปพบ มีเงินหมุนเวียนผ่านบัญชีกว่า 900 ล้านบาท ระหว่างปี 61-67 และมีข่าวจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ปปง. ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้
จึงต้องรอดูบทสรุป จะออกมาอย่างไร จะมีการเปิดเผยชื่อหญิงสาวคนดังกล่าว และถ้าพบว่า เป็นหญิงสาวที่ใกล้ชิดกับอดีตรองนายกฯคนหนึ่ง จะมีผลกระทบพรรคการเมืองต้นสังกัดหรือไม่ แม้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่หลายคนคงอดคิดไม่ได้ ว่าเกี่ยวพันกับการเมือง เพราะอดีตที่ผ่านมา “นักการเมือง” มักใช้กลไกทุกอย่าง เพื่อ “ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม”
ส่วน “อาจารย์แหม่ม-นฤมล” ให้ความเห็นกรณีไร่ภูนับดาว จ.สระบุรี บุกรุกที่ดิน ส.ป.ก.ว่า “ยังอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการที่ตรวจสอบ ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯเข้าไปเกี่ยวข้องหรือหรือไม่ หากมี เลขาฯส.ป.ก. จะดำเนินการแต่เรื่องการสอบสวนทั้งหมด จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ที่สนธิกำลังกันกับหน่วยงาน ซึ่งของกระทรวงเกษตรฯเกี่ยวข้องเฉพาะเอกสารสิทธิ์ผู้ที่เข้าไปมีชื่อครอบครอง ว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง จะทำการทวงคืนและจัดสรรให้กับเกษตรกร และยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯจะทวงคืนที่ดิน ที่ไร่ภูนับดาวไปบุกรุก และไม่เพียงที่ผืนนี้ แต่ทุกแปลงทั่วประเทศไทย ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ และหลายครั้งก็เห็นในข่าวที่ดินที่จัดสรรให้เกษตรกร มีนายทุนเอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรตรงนี้เราจะทวงคืนให้หมด”
ส่วนที่มีข่าวว่า “ไร่ภูนับดาว” เชื่อมโยงไปถึงคนข้างกายอดีตรองนายกฯ “นฤมล” กล่าวว่า “เห็นในข่าว แต่ไม่ได้มีการรายงานมา เพราะไม่ใช่คนสอบสวน และกระทรวงเกษตรฯไม่มีอำนาจสอบสวนเส้นเงิน ตอนนี้จึงรอดูเพียงแค่เอกสารสิทธิ์ และชื่อของผู้ที่ครอบครองอยู่ เรามีอำนาจแค่นั้น ส่วนงานอื่นเป็นอำนาจของหน่วยงานอื่น และไม่ได้รายงานมาที่กระทรวงเกษตรฯ จึงไม่ใช่เรื่องการเมืองแน่นอน”
ด้าน “พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รอง ผบช.ก. เปิดเผยถึงกรณีการบุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก. ในพื้นที่จ.นครราชสีมา และ จ.สระบุรี ว่า “เจ้าหน้าที่ ปปท. ได้ลงตรวจสอบพื้นที่อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และพบว่า น่าจะมีการออกเอกสารสิทธิถือครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยมิชอบ และเมื่อมีการตรวจสอบแล้ว ทาง ป.ป.ช. จึงเป็นผู้ถือสำนวนในการสืบสวน โดยร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ และได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา โดยมี ป.ป.ช., ปปท, บก.ปปป. และ ปปง. ในการตรวจสอบโครงการดังกล่าว”
เมื่อถามถึงเรื่องเส้นเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่เชื่อมโยงไปถึงหญิงสาวคนสนิทของบิ๊กนักการเมือง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า “ในการตั้งคณะทำงานคดีนี้ ทุกหน่วยงานต้องส่งข้อมูลไปที่ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช. จัดส่งเพียงหลักฐานบางอย่าง เพื่อให้แต่ละหน่วยงานสืบสวนต่อเท่านั้น ซึ่งในส่วนของ บก.ปปป. จะทำการสืบสวนเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเอกสารและพื้นที่ที่ได้มาโดยไม่ชอบ ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน จะเป็นการดำเนินการของ ปปง. ซึ่งในส่วนของเงิน 10 ล้านนี้ บก.ปปป.ได้เพียงข้อมูลมา แต่ในส่วนของรายละเอียด ว่าเส้นทางการเงินมีที่มาอย่างไร เชื่อมโยงต่อไปที่ไหน บก.ปปป. ไม่ได้ทำการสืบสวน และก็ไม่มีอำนาจที่จะออกหมายเรียก หรือหมายจับ อำนาจทั้งหมดจะอยู่ที่ ป.ป.ช.”
คงต้องรอดูว่า วันที่ 16 ธ.ค.ในการประชุม ปปง.จะมีบทสรุปอย่างไร ซึ่งถ้าออกในทางลบกับ “หญิงสาวคนสนิทของอดีตรองนายกฯ” ย่อมส่งผลกระทบทางเมืองแน่นอน รวมทั้งการสอบเส้นเงิน จะเกี่ยวพันถึง “บิ๊กการเมืองคนไหน” หรือไม่
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์หา “พล.อ.ประวิตร”เพื่อขอสัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวไร่ภูนับดาว จ.สระบุรี บุกรุกที่ดิน ส.ป.ก.และเชื่อมโยงไปถึงคนข้างกายอดีตรองนายกฯ โดย “พล.อ.ประวิตร” กล่าวสั้นๆ ว่า “ไม่มีอะไร ไม่เคยทำอะไรผิดเลย”
วันนี้…ในวันที่ “บิ๊กป้อม” ไม่มีอำนาจรัฐในมือ แต่ยังมี “นักร้อง” เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร ถึงวันที่ต้องรับมือกับ “เกมตอบโต้-เกมเอาคืน” ของ “ฝ่ายตรงข้าม” จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ หรือถึงเวลาที่ “บ้านป่ารอยต่อ” ต้องถูกปิดลงอย่างถาวร
……………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”