วันพฤหัสบดี, มกราคม 30, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSศึกเลือกตั้ง“อบจ.”ทำ“ทักษิณ-ปชน.”ช้ำ! ตกเป็นเป้า“โจมตี”-ต่างพรรค“รุมกินโต๊ะ”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศึกเลือกตั้ง“อบจ.”ทำ“ทักษิณ-ปชน.”ช้ำ! ตกเป็นเป้า“โจมตี”-ต่างพรรค“รุมกินโต๊ะ”

เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงชิงเก้าอี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 47 จังหวัด ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปด้วยความเข้มข้นและดุเดือด หลังผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่กลายเป็นมาเป็น ประธานคณะก้าวหน้า และมีความใกล้ชิดกับ “พรรคประชาชน” (ปชน.) ให้ความสนใจ ต้องการเข้ามามีบทบาทใน การเมืองท้องถิ่น หลังจากนั้นบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ก็หันมาให้ความสนใจ การเมืองระดับท้องถิ่นเช่นเดียวกัน  

ไม่ว่าจะเป็น “อบจ.-อบต.-เทศบาล” เพราะเกรงว่าจะสูญเสียที่มั่นทางการเมือง จึงต้องการรักษาอำนาจเดิมไว้  นอกจากนั้นในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มากบารมีในพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะบุพการีหัวหน้าพรรค ซึ่งมีสถานะเป็นนายกฯ เข้ามามีบทบาทในการเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ให้พรรคแกนนำรัฐบาล หลังความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังการเมืองระดับชาติ เนื่องจากในการเลือกตั้งเมื่อปี 66 พรรคเพื่อไทยต้องพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกให้กับพรรคประชาชน ดังนั้น “ทักษิณ” จึงหวังจะแก้มือ เพื่อให้เพื่อไทยกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาล และ “แพทองธาร ชินวัตร” ได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งปี 70

จึงไม่แปลกที่การชิงเก้าอี้ “ผู้นำท้องถิ่น” ครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการเปิดหน้าชกระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ประชาชน” โดยพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร “นายกอบจ.” ในนามพรรครวม 25 จังหวัด ทั้งที่เลือกตั้งไปแล้ว และที่กำลังจะเลือกตั้งในวันที่ 1 ก.พ.นี้

โดย ภาคเหนือ ส่งทั้งหมด 8 จังหวัดได้แก่ 1.ลำพูน 2.ลำปาง 3.แพร่ 4.น่าน 5.เชียงราย 6.พะเยา 7.สุโขทัย 8.เชียงใหม่, ภาคอีสาน ส่งทั้งหมด 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด 1.นครพนม 2.มหาสารคาม 3.สกลนคร 4.ศรีสะเกษ 5.บึงกาฬ 6.หนองคาย 7.มุกดาหาร 8.นครราชสีมา โดยมี 6 จังหวัด ที่จัดการเลือกตั้งแล้ว ได้แก่ 1.ยโสธร 2.อุดรธานี 3.ร้อยเอ็ด 4.กาฬสินธุ์ 5.อุบลราชธานี 6.ขอนแก่น ซึ่ง “เพื่อไทย” คว้าชัยทุกสนาม, ภาคกลาง ส่ง 3 จังหวัด ได้แก่ 1.กาญจนบุรี (ชนะการเลือกตั้ง) 2.ปทุมธานี ที่มีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 พรรคไม่มีมติส่งผู้สมัครนายกอบจ. และ 3.ปราจีนบุรี

ก่อนหน้านี้ เพื่อไทยส่งผู้สมัครชิงนายก อบจ. มาแล้ว 9 จังหวัด โดยคว้าชัยชนะมาได้ 8 จังหวัด อีก 1 จังหวัด คือปทุมธานี ซึ่งผลการเลือกตั้งรอบแรก ตัวแทนพรรค “ชาญ พวงเพ็ชร์” คว้าชัยชนะ แต่พอต้องเลือกตั้งใหม่ “ชาญ” ต้องพ่ายแพ้ให้กับ “พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ซึ่งการเลือกตั้งนายกอบจ.วันที่ 1 ก.พ.นี้ พรรคแกนนำรัฐบาลมีลุ้น 16 จังหวัด จึงต้องรอดูว่า จะคว้าชัยได้กี่จังหวัด

ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย จะสร้างความมั่นและฮึกเหิมให้พรรคแกนนำรัฐบาลได้มากพอสมควร โดยเฉพาะ “ทักษิณ” ซึ่งเป็น “แม่ทัพ” ในการช่วยปราศรัยหาเสียงที่ จ.อุดรธานี และอุบลราชธานี ล้วนประสบชัยชนะ เพื่อไทยจึงหวังจะคว้าชัยให้ได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและนำเคลมว่า ชาวบ้านพอใจผลงานของรัฐบาล

เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

ส่วน พรรคประชาชน ก่อนหน้านั้น “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค และ “ศรายุทธิ์ ใจหลัก” เลขาธิการพรรค แถลงเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรค จำนวน 12 คน ประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำพูน มุกดาหาร หนองคาย ตราด ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พังงา สงขลา สมุทรสงคราม สมุทรปราการ และ นนทบุรี พร้อมนำเสนอ “ชุดนโยบาย 5 ด้าน” คือน้ำประปาดื่มได้ น้ำเกษตรทั่วถึงตลอดปี, ขนส่งมวลชน ถนนทั่วถึง รถเมล์ตรงเวลา, สาธารณสุขบริการทั่วถึง อยู่ไหนก็ใกล้หมอ, อบจ.โปร่งใส ทำงานไวรับใช้ประชาชน, โรงเรียนคุณภาพ สอนทักษะอนาคตเรียนไปได้ใช้จริง

ต้องยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการท้าทายศักยภาพพรรคสีส้ม เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับนายกอบจ. อย่างที่จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นการเลือกตั้งหลังพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถูกยุบ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) แกนนำพรรคสีส้มและบรรดาผู้สนับสนุน ต่างหมายมั่นปั้นมือจะคว้าชัยชนะให้ได้ หวังจะให้บรรดา “ด้อมส้ม” ออกมาแสดงพลัง เลือกผู้สมัครที่พรรคประชาชน ให้การสนับสนุนอย่างถล่มทลาย

แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นตามความคาดหมาย กลับโดน “ยุทธศาสตร์รุมกินโต๊ะ” จากบรรดานักการเมืองจากค่ายต่างๆ หันมาจับมือกัน เพราะกังวลว่า หากปล่อยให้พรรคประชาชนคว้าชัยชนะได้ ทั้งสนามระดับชาติและระดับท้องถิ่น บรรดานักการเมือง “บ้านใหญ่” จะไม่มีที่ยืน ยิ่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 66 คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคสีส้ม มาเป็นอันดับหนึ่งในหลายจังหวัด

ดังนั้นพรรคการเมืองต่างๆ จึงปล่อยให้พรรคการเมืองนี้เติบโตไม่ได้ ซึ่งรูปแบบในการต่อสู้กับพรรคประชาชน จากการเลือกตั้งนายกอบจ.ราชบุรี ถือเป็นโมเดลที่บรรดา “บ้านใหญ่” และ “หลายพรรค” ยึดถือ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  

จึงไม่ใช้เรื่องแปลก ที่มีการคาดหมายกันว่า ผลการเลือกตั้งนายกอบจ.ทั้ง 47 จังหวัด ผู้สมัครที่พรรคประชาชนให้การสนับสนุนอาจไม่ประสบชัยชนะ เลยซักจังหวัดเดียว แม้ว่าอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ และก้าวไกล และตัวตึง ทั้ง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล-พรรณิการ์ วานิช-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-ชัยธวัช ตุลาธน” ซึ่งคาดหวังว่า จะใช้สนามเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นเวทีเกิดของพรรคประชาชน หรือถ้าจะมีลุ้นก็อาจเป็น จ.ระยองและสมุทรปราการ ส่วนจังหวัดอื่น ยากที่จะมีสิทธิ์ได้เก้าอี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่มีการจัดเลือกตั้งล่วงหน้า กฎกติกาในการกาบัตร แตกต่างจากการเลือกตั้ง

ขณะที่มีการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งพบว่า ผู้สมัครจากพรรคประชาชนไม่สามารถคว้าเก้าอี้นายกอบจ.จากการเลือกตั้งทั้ง 47 จังหวัด ซ้ำร้อยการเลือกตั้งอบจ.ครั้งที่ผ่านมา ซึ่ง “คณะก้าวหน้า” เคยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง 42 จังหวัด แต่ก็พ่ายแพ้แบบหมดรูป โดยมีการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งทั้ง 47 จังหวัด

โดย พรรคเพื่อไทย คาดหวังจะได้เก้าอี้นายกอบจ. 13  จังหวัด พื้นที่ภาคเหนือ 6 จังหวัดคือ “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” จาก จ.เชียงใหม่, “สลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช” จ.เชียงราย, “ตวงรัตน์ โล่สุนทร” จ.ลำปาง, “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” จ.ลำพูน, “อนุวัธ วงศ์วรรณ” จ.แพร่ และ “นพรัตน์ ถาวงศ์” จ.น่าน

ภาคอีสานได้ 6 จังหวัด จาก “นฤมล สัพโส” จ.สกลนคร, “ยลดา หวังศุภกิจโกศล” จ.นครราชสีมา, “วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ” จ.ศรีสะเกษ, “วุฒิไกร ช่างเหล็ก” จ.หนองคาย, “อนุชิต หงษาดี” จ.นครพนม, “พลพัฒน์ จรัสเสถียร” จ.มหาสารคาม และภาคตะวันออก จ.ปราจีนบุรี คาด “สจ.จอย-ณภาภัช อัญชสาณิชมน” ภรรยา อดีตสจ.โต้ง ซึ่งเสียชีวิตไป จะได้นั่งนายก อบจ.สมัยแรก เนื่องจาก “บ้านใหญ่วิลาวัลย์” ไม่ได้ส่งผู้สมัครในสังกัดลงสนาม

ส่วน ค่ายสีน้ำเงิน “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) คาดว่าจะได้ นายก อบจ.ใน 7 จังหวัด จาก “กฤษฏ์ เพ็ญสุภา” จ.พิจิตร, “อรพิน จิระพันธุ์วาณิช” จ.ลพบุรี, “ภูษิต เล็กอุดากร” จ.บุรีรัมย์, “แว่นฟ้า ทองศรี” จ.บีงกาฬ, “พนัส พันธุ์วรรณ” จ.อำนาจเจริญ, “สมศักดิ์ กิตติธรกุล” จ.กระบี่ และ “สัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์” จ.สตูล

ด้าน “กลุ่มบ้านใหญ่” ที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองโดยตรง มีแนวโน้มคว้าเก้าอี้ นายกอบจ. ได้ 27 จังหวัด เป็นภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ คละเคล้ากันไป โดย จ.นครปฐม “จิรวัฒน์ สะสมทรัพย์” อดีตนายกอบจ.นครปฐม กลุ่มชาวบ้าน ตระกูลสะสมทรัพย์, จ.ฉะเชิงเทรา “กลยุทธ ฉายแสง” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองฉะเชิงเทรา ทีมรวมใจพัฒนา, จ.ชลบุรี “วิทยา คุณปลื้ม” อดีตนายกอบจ.ชลบุรี 4 สมัย กลุ่มเรารักชลบุรี, จ.ระยอง “ปิยะ ปิตุเตชะ” ทีมรวมพลคนพลังช้าง, จ.จันทบุรี “ธนภณ กิจกาญจน์” อดีตนายกอบจ.จันทบุรี, จ.ตราด “วิเชียร ทรัพย์เจริญ” อดีตนายกอบจ.ตราด 6 สมัย กลุ่มลูกเมืองตราด

กลุ่มจังหวัด 3 สมุทร ที่ จ.สมุทรสาคร “อุดม ไกรวัตนุสสรณ์” ตัวแทนกลุ่มฅนทำงาน, จ.สมุทรสงคราม “เจษฎา ญาณประภาศิริ” อดีตประธานสภา อบจ. สมุทรสาคร และ จ.สมุทรปราการ “สุนทร ปานแสงทอง” อดีต รมช.เกษตรฯ ตัวแทนตระกูลอัศวเหม

ภาคกลาง จ.สุพรรณบุรี “อุดม โปร่งฟ้า” ตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพน.), จ.สิงห์บุรี “ศุภวัฒน์ เทียนถาวร”, จ.สระบุรี “สัญญา บุญ-หลง” อดีตนายกอบจ.สระบุรี, จ.นครนายก “นิดา ขนายงาม” อดีตรองประธานสภา อบจ. นครนายก และ จ.นนทบุรี “พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ” กลุ่มผึ้งหลวง

ภาคอีสาน 2 จังหวัด คือ จ.มุกดาหาร “วีระพงษ์ ทองผา” พี่ชาย วิริยะ ทองผา สส.มุกดาหาร พลังประชารัฐ และ จ.หนองบัวลำภู “วุฒิพงษ์ ศิริสถิตย์” อดีตนายก อบจ.หนองบัวลำภู กลุ่มเพื่อฅนหนองบัวภาคเหนือ, จ.แม่ฮ่องสอน “อัครเดช วันไชยธนวงศ์” อดีตนายกอบจ.แม่ฮ่องสอน 3 สมัย

ภาคใต้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ “สราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์” อดีตนายกอบจ.ประจวบคีรี ขันธ์, จ.สงขลา “สุพิศ พิทักษ์ธรรม” อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ทีมสงขลาพลังใหม่, จ.พัทลุง “วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” อดีตนายกอบจ.พัทลุง 2 สมัย กลุ่มพลังพัทลุง, จ.พังงา “บำรุง ปิยนามวาณิช” อดีตนายกอบจ.พังงา 3 สมัย, จ.ตรัง “บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ” อดีตนายกอบจ.ตรัง, จ.สุราษฏร์ธานี “โสภา กาญจนะ” ทีมพลังสุราษฏร์, จ.ภูเก็ต “เรวัต อารีรอบ” อดีตนายกอบจ.ภูเก็ต กลุ่มภูเก็ตหยัดได้, จ.ยะลา “มุขตาร์ มะทา” อดีตนายกอบจ.ยะลา 5 สมัย น้องชาย “วันมูหะมัดนอร์ มะทา”, จ.ปัตตานี “เศรษฐ์ อัลยุฟรี” อดีตนายกอบจ.ปัตตานี 3 สมัย, จ.นราธิวาส “กูเซ็ง ยาวอหะซัน” อดีตนายกอบจ.นราธิวาส 5 สมัย

ถ้าเป็นไปอย่างที่มีการคาดการณ์จริง คงต้องรอดูพรรคประชาชนจะปรับยุทธศาสตร์อย่างไร แม้รูปแบบการเลือกตั้ง และหน้าที่การทำงานจะแตกต่างกับสส. แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คงมีผลกระทบกับความมั่นใจได้พอสมควร เพราะเป้าหมายของพรรคสีส้ม หวังได้สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า 270 เสียง ดังนั้นในการเลือกตั้งทุกระดับ จึงมีความหมายต่อพรรคสีส้ม

ส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ได้ “ทักษิณ ชินวัตร” มาเป็นผู้ช่วยในการหาเสียง แม้ว่าส่วนหนึ่งจะนำมาสู่ชัยชนะ แต่เนื้อหาคำปราศรัย ก็สร้างความขัดแย้งทางการเมือง เพราะมีการโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทำให้ถูกโจมตีจากพวกที่เห็นต่างๆ นอกจากนี้ “ทักษิณ” ยังพาดพิงพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ “ภูมิใจไทย” ในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยที่สนามฟุตบอล (บ้านสวนสส.ธเนศ) ที่จ.ศรีศะเกษ ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องต่อสู้กับผู้สมัครที่มีความใกล้ชิดกับพรรคสีน้ำเงิน

โดยตอนหนึ่ง “ทักษิณ” ระบุว่า “ได้ข่าวว่ากำนัน-ผู้ใหญ่บ้านถูกเรียกไปสั่งการนู่นนี่ ผมบอกว่า ข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง ถ้าข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง ก็ตัวใครตัวมัน วันนี้การแข่งขันทางประชาธิปไตย ต้องเป็นการแข่งขันที่เป็นธรรม พี่น้องจะได้ใช้ดุลพินิจของพี่น้องว่า จะเลือกใครใช้งานใคร วันนี้ผมจัดทีมไว้แล้ว ทีมสส. สจ. ดังนั้นเอาทีมนี้มารับใช้พี่น้องและส่งต่องานให้ผม จะได้ช่วยพี่น้องเต็มที่”

หรืออีกช่วงหนึ่งระบุว่า “ผมทำงานใช้หนี้คนไทย เพราะพี่น้องไม่เคยลืมผมเลย ไม่อยู่ก็ยัง ก็ยังเลือก สส.ให้ เมื่อพี่น้องไม่ลืมผม ก็ต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณ จะตอบแทนบุญคุณพี่น้อง โดยเฉพาะพี่น้องศรีสะเกษที่คราวที่แล้ว “ยุทธการไล่หนูตีงูเห่า” ได้สำเร็จดีมากเลย แต่ยังไม่หมดดี เอาให้หมดเลย โดยเฉพาะ อบจ.เปลี่ยนได้แล้ว นายก อบจ.เปลี่ยนได้แล้ว เปลี่ยนเป็น “วิวัฒน์ชัย” ได้แล้ว ผมจัดการเอง”

ตอกย้ำให้บางคนรู้สึกว่า  เพียงแค่ประโยชน์ทางการเมือง “ทักษิณ” ทำได้ทุกอย่าง แม้จะเป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” ซึ่งเป็น “เพื่อนร่วมงาน” และมีส่วนทำให้รัฐบาลภายใต้การนำพรรคเพื่อไทยจัดตั้งได้

อีกทั้งความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในพื้นที่จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีการแชร์ภาพข่าวการร่วมรัฐบาลระหว่าง “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” รวมถึงภาพการตีกอล์ฟระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายราย โพสต์ข้อความตั้งคำถาม “จะไล่หนูกี่โมง” หรือ “ตาสว่างกันสักทีเถอะ พี่น้องชาวศรีสะเกษ”

เหตุผลเพราะ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “อนุทิน” ก็จับมือกันเป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ “ทักษิณ” พูดว่า “จะไล่หนูตีงูเห่า”

คำถามคือ ชัยชนะที่พรรคเพื่อไทยหวังจะได้มา จากการได้ “ทักษิณ” มาเป็นผู้ช่วยหาเสียง จะคุ้มหรือไม่กับผลกระทบทางการเมืองที่ตามมา ทั้ง “ตกเป็นเป้าโจมตี” และทำให้ “พรรคร่วมรัฐบาลเสียความรู้สึก” ซึ่งอาจกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต

เช่นเดียวกับ “พรรคประชาชน” แม้จะระดมบรรดา “ตัวตึง” ไปช่วยหาเสียง แต่ดูเหมือนยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือเป้าหมาย 270 ที่นั่งที่วางไว้ภายหลังการเลือกตั้ง “ไม่มีทางทำได้” เพราะอยู่ตกอยู่ใน “วงล้อมของพรรคการเมือง” จึงเป็นเรื่องที่ “แกนนำพรรคสีส้มต้องปรับยุทธศาสตร์” เปลี่ยนท่าทีเพื่อมีโอกาส นำนโยบายที่ใช้หาเสียงไปผลักดันในฝ่ายบริหาร แต่กว่าจะถึงวันนั้น ยังต้องฝ่า “วิบากกรรม” อีกหลายด่าน จนไม่รู้ว่าจะเหลือ “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” เดินตามในเส้นทางอีกจำนวนเท่าไหร่???

………………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

                                                                                                                                              

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img