วันพุธ, กุมภาพันธ์ 26, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSใบสั่ง“นายใหญ่”..จ้องล้ม“สว.สีน้ำเงิน” หวังช่วงชิงอำนาจเลือก“องค์กรอิสระ”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ใบสั่ง“นายใหญ่”..จ้องล้ม“สว.สีน้ำเงิน” หวังช่วงชิงอำนาจเลือก“องค์กรอิสระ”

หลายคนคงยากที่จะเชื่อว่า การเอื้อมมือเข้ามา สอบกระบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่อยู่ภายใต้สังกัด “กระทรวงยุติธรรม” ซึ่งมี “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ดูแลอยู่ ซึ่งใครก็รู้ว่า “บิ๊กวี” เป็นนักการเมืองที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มากบารมีเหนือรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย (พท.) ไว้วางใจ

ถ้ายังจำกันได้ชื่อของ “พ.ต.อ.ทวี” ซึ่งมีสถานะเป็น หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) ก็ได้รับการวางตัวให้เข้ามาดูแลกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังประกาศจับมือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ “พท.” จนกระทั่งพรรคสีแดงข้ามขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ชื่อของ “บิ๊กวี” ก็ไม่ได้ถูกขยับไปอยู่กระทรวงอื่น

แต่พอ “ทักษิณ” เดินทางกลับมาประเทศไทย ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และต้องอยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ และมีปัญหาเรื่องการพำนักที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ หลายคนเลยถึงบางอ้อว่า ทำไมชื่อ “รมว.ยุติธรรม” ต้องเป็น “พ.ต.อ.ทวี” แกนนำพรรคปช.เพียงเท่านั้น

ขณะที่ บทบาทของ สว. ซึ่งล้วนถูกกำหนดทิศทางโดย “กลุ่มสีน้ำเงิน” ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ที่มีอยู่ประมาณ 140 คน ก็เปรียบเสมือนเป็น “หนามยอกอก” ของ “นายใหญ่” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า

ไล่ตั้งแต่ การแสดงจุดยืนในร่างพ.ร.บ.ประชามติ เกี่ยวกับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น หรือ double majority รวมทั้งการแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับร่างรธน. แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรธน.มาจัดทำรธน.ฉบับใหม่ ฉบับพรรคเพื่อไทย เพราะไปตัดอำนาจการให้ความเห็นชอบของสว. ซึ่งต้องใช้เสียง 1 ใน 3 คือ 67 เสียง ในวาระที่ 1 และ 3

ซึ่งหากการแก้ไขรธน.ทำไม่สำเร็จ ก็จะกระทบกับภาพลักษณ์พรรคแกนนำรัฐบาล เนื่องจากกำหนดไว้เป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ “อำนาจสว.” ที่สำคัญที่สุด ซึ่งหลายคนถวิลหาคือ การให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระ โดยเฉพาะ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ตุลาการศาลรธน. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ และมีส่วนชี้เป็นชี้ตายทางการเมือง

หลายคนเลยมองว่า พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจต่อรองในรัฐบาลสูง นอกจากจะมีสส.เป็นอันดับ 2 (69 เสียง) ยังสามารถกำหนดทิศทางสว.ส่วนใหญ่ได้ ดังนั้นกระบวนการตรวจสอบที่มา สว. จึงถูกมองว่า เป็น “ใบสั่ง” ของ “ผู้มากบารมี” เพื่อ บีบให้ “สว.สีน้ำเงิน” ย้ายค่าย หรือ ใช้ข้อกล่าวหาเป็นชนักปักหลังไว้ เพื่อให้เคลื่อนไหวลำบาก หรือถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจน อาจนำไปสู่การดำเนินคดีให้พ้นจากสถานะความเป็นสว. เปิดทางให้ “สว.สำรอง” ที่มีความใกล้ชิดกับ “พรรคเพื่อไทย” เข้ามาทำหน้าที่แทน

น่าสังเกตว่า ก่อนที่จะมีนำเรื่อง การเลือกสว. เข้าไปพิจารณาให้เป็น “คดีพิเศษ” มีการปล่อย “เอกสารลับ” แบบตั้งใจหลุดของ “ดีเอสไอ” ระบุถึงคำร้องที่กลุ่มตัวแทนผู้สมัคร สว.รวมตัวกันมากกว่า 40 คน มีทั้งกลุ่ม สว.สำรอง ผู้สมัครสว.อื่นๆ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อดีเอสไอ ขอให้สอบ “โพยฮั้ว สว.”

โดยรายละเอียดโพยฮั้ว สว.จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน พบว่า เป็นผู้ได้รับเลือกเป็น สว.จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน ที่การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. พ.ศ.2563 มาตรา 977(3) ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

ถ้าลองไล่เรียงไทม์ไลน์การดำเนินการในเรื่องนี้ ไล่ตั้งแต่ วันที่ 25 ส.ค.67 “แสวง บุญมี” เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำหนังสือแจ้งดีเอสไอ เพื่อทราบว่า ได้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ เป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. พ.ศ.2561 จากนั้น วันที่ 29 ส.ค.67 “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ทำหนังสือแจ้งดีเอสไอ เพื่อทราบว่า ได้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ เป็นคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและประสานการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนไต่สวนและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือก สว.67

ต่อมาวันที่ 25 ก.ย.67 “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” รักษาราชการแทนอธิบดีดีเอสไอ ทำหนังสือแจ้ง กกต. เพื่อทราบว่า ได้รับ 3 คำร้อง ของ “พล.ต.ต.อนุชา จารยะพันธุ์-ภัทรพงศ์ ศุภักอักษร-ทินกร จิตต์ไพบูลย์” ที่ขอให้ตรวจสอบการฮั้วเลือก สว. ไว้สืบสวนแล้ว วันที่ 22 ม.ค.68 “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต. ทำหนังสือขอให้ดีเอสไอแจ้งรายละเอียดของ 3 คำร้องที่ดีเอสไอรับไว้สืบสวนและความคืบหน้าของการสืบสวนภายในวันที่ 24 ม.ค.68

จากนั้น วันที่ 3 ก.พ.68 “ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล” รักษาราชการแทนอธิบดีดีเอไอ ทำหนังสือแจ้ง กกต. เพื่อทราบและเพื่อพิจารณารวม 3 ประเด็น ได้แก่ ผลการสืบสวนทั้งสามคำร้องพบว่ามีการกระทำความผิดทางอาญา, ดีเอสไอต้องการจะรับสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำความผิดทางอาญา ขอให้ กกต. ตอบกลับหนังสือภายในวันที่ 10 ก.พ.68 ว่าความผิดทางอาญาใดที่ กกต. จะดำเนินการและความผิดทางอาญาใดที่จะให้ดีไอเอสดำเนินการ

ต่อมา วันที่ 18 ก.พ.68 “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต.ทำหนังสือตอบกลับดีเอสไอว่า เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ดีเอสไอได้รับไว้พิจารณาแล้วหรือไม่ จึงยังไม่ได้เสนอให้คณะกรรมการ กกต. พิจารณา และ วันที่ 25 ก.พ.68 เวลา 13.30 น. ที่ ห้องประชุม 10-01 ชั้น 10 กระทรวงยุติธรรม “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีดีเอสไอ จะขอมติที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ให้รับกรณีฮั้วเลือก สว.67 ไว้เป็นคดีพิเศษ โดยให้เหตุผลว่า พบการกระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม แบ่งหน้าที่กันทำ มีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในการเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนนออกเป็นโพยฮั้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์จำนวน สว. ที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนที่เรียกว่ากลุ่มพลีชีพ หรือ “โหวตเตอร์”

ด้าน “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ประธาน กคพ. ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม กคพ. ว่า ไม่หนักใจเพราะถือว่าทำหน้าที่ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กกต. ส่งมาให้ดีเอสไอ พิจารณาไม่ใช่อยู่ดีๆ ดีเอสไอไปขุดเรื่องนี้มา ซึ่งหน้าที่ของดีเอสไอ คือต้องพิสูจน์ทราบว่ามีแนวโน้มอย่างไร และจากที่ได้รับรายงาน ก็พบว่ามีข้อมูลที่น่าจะถูกทราบได้ว่ามีปัญหา มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเกี่ยวกับสถาบันนิติบัญญัติแห่งชาติ และหากเป็นความจริง จะเสียหายต่อสถาบันหลักของชาติอย่างมาก

เมื่อถามอีกว่า “สว.อิสระบางคน” แสดงความเป็นห่วงว่า เป็นเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงกระบวนการ “ภูมิธรรม” กล่าวว่า ต้องไปดูที่กกต.เป็นความรับผิดชอบของนายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. เพราะเป็นคนทำเรื่องตั้งแต่ต้น ส่วนจะกระทบต่อภาพรวมการทำงานของรัฐบาลหรือไม่นั้นตนคิดว่าไม่กระทบหรอก เพราะรัฐบาลต้องทำงานบนพื้นฐานความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และตามกฎหมาย ไม่ว่าคนใดของพรรคใดทำผิด ก็ต้องรับผิดชอบ

เช่นเดียวกับ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ในฐานะ รองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการ กคพ.ว่า คณะกรรมการ กคพ.มี 22 คน สามารถนำคดีอาญาเป็นคดีพิเศษได้ โดยต้องใช้มติ 2 ใน 3 คือ 15 คน ทั้งนี้ กคพ.มีความเป็นอิสระ ยึดเกณฑ์ทั้งในส่วนของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ศาล องค์กรอิสระ ต้องปฏิบัติตามรธน. กฎหมาย และหลักนิติธรรม ส่วนในประเด็นดังกล่าวมี 2 ส่วนคือ ส่วนแรก มีการสอบสวนเป็นความผิดอาญาอื่น

ทั้งนี้ ถ้อยคำที่เป็นข้อหาว่า “อั้งยี่ซ่องโจร” เป็นการใช้ภาษากฎหมาย ไม่ใช่เป็นการกล่าวหา โดยคำว่า “อั้งยี่” คือเป็นสมาชิกคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการเพื่อกระทำมิชอบด้วยกฎหมายและผู้เป็นหัวหน้าของอั้งยี่ หากเป็นอั้งยี่ธรรมดา มีโทษจำคุก 7 ปี ถ้าเป็นคณะอั้งยี่หรือกรรมการ โทษจำคุก 10 ปี แต่ถ้าเป็นอั้งยี่ที่รวมตัวกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเรียกว่า “ซ่องโจร” ยืนยันไม่ได้กล่าวหาใคร แต่เป็นภาษาตามประมวลกฎหมายอาญาที่มีมานานแล้ว และยังบังคับใช้อยู่

ในระหว่าง การประชุมของกคพ. ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ.68 ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ในฐานะกำกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เป็นประธานกรรมการ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม รองประธานกรรมการ และกรรมการโดยตำแหน่ง 9 ราย (ขาดประชุม 1 ตำแหน่ง คือ ผบ.ตร.) รวมถึงกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ อีก 7 ราย (ขาดประชุม 2 คน คือ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)

ทำให้มีกรรมการเข้าร่วมประชุมเพียง 19 ราย จากทั้งหมด 22 ราย เพื่อพิจารณา 2 วาระสำคัญที่จะมีการเสนอขอมติรับเป็นคดีพิเศษ ได้แก่ เรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสว.ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.พ.ศ.2561 และประมวลกฎหมายอาญา โดยระหว่างการประชุมมกรรมการ กพค.ทั้งหมดได้มีการถกเถียง เรื่องอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ จนท้ายสุดกรรมการฯได้เสนอให้มีการเลื่อนลงมติออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า ต้องเชิญ กกต.เข้ามาชี้แจง

“ภูมิธรรม” แถลงผลการประชุมว่า เรื่องนี้มีความไม่ชัดเจนหลายๆ เรื่อง และเป็นคดีใหญ่ เราอยากทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน โปร่งใส ครบถ้วนและรวดเร็ว จึงมีมติให้ดำเนินการเอาเรื่องนี้ถอนไปให้คณะอนุกรรมการของดีเอสไอได้ดำเนินการ ให้ครบถ้วนตามขั้นตอน จึงขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ เพื่อไม่ให้สังคมมองว่าเราเป็นการยืดเยื้อหรือไม่อยากทำ เพราะเราได้คุยกันตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราจะทำเรื่องนี้โดยไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามา และไม่เป็นความรู้สึกดีหรือไม่ดีต่อกัน เราทำตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และในข้อเท็จจริง จึงมอบไปยังคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ให้ไปถามให้ถูกต้องตามกระบวนการ

ประธาน กพค. กล่าวด้วยว่า ประธาน กกต.ระบุว่าจะมาวันที่ 5 มี.ค. ก็จะขอคุยด้วย อยากปรึกษา และหลังจากรับฟังครบถ้วนแล้ว เราจะใช้เวทีทั้งหมดในการประชุมอีกครั้งในวันที่ 6 มี.ค. รวมถึงจะมีการเชิญประธาน กกต. หรือผู้แทน กกต.ที่มีอำนาจมาร่วมประชุมด้วย ซึ่งวันนั้นจะได้มีข้อยุติสิ้นสุด นอกจากนี้โดยส่วนใหญ่แล้ว ตนในฐานะประธานกรรมการฯ ได้ฟังคดีเกี่ยวกับอั้งยี่ซ่องโจรหรือคดีอาญา มันเป็นอำนาจที่เราทำได้อยู่แล้ว ก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา ส่วนคดีเลือกตั้งก็ให้เกิดความชัดเจนว่า กกต.จะทำหรือไม่ทำ

อย่างไรก็ตาม หลังจากปรากฏข่าว ทาง กพค.จะเชิญกกต.ไปให้ข้อมูล ก็มี “แหล่งข่าวจาก กกต.” ออกมาให้ความเห็นว่า หากดีเอสไอทำหนังสือมา ก็ต้องดูรายละเอียดเนื้อหาหนังสือก่อนว่า ใช้อำนาจใดตามกฎหมายในการเชิญ และเชิญใครเข้าไปให้ข้อมูล เช่น เลขาธิการ กกต. หรือเชิญ กกต. ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือเชิญ อีกทั้งที่ผ่านมาในชั้นการไต่สวนคำร้องได้ดำเนินการมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการเชิญ สว.เข้ามาให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน และยืนยันการพิจารณาคำร้องการเลือก สว. สามารถพิจารณาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ประกาศรับรองตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.67

นั่นหมายความว่า ถ้า “กพค.” เชิญมา “กกต.” ก็อาจไม่ไปข้อมูล เพราะถือเป็น “องค์กรอิสระ” ที่มีสถานะเหนือกว่า “ดีเอสไอ” และการตรวจสอบเรื่องการเลือกสว. มีปัญหาหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ของ “กกต.” ถ้า “กกต.” ยืนยันจะสอบสวนเรื่องฮั้วเลือกสว.เอง “กระทรวงยุติธรรม” จะดำเนินการอย่างไร???

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ-ภูมิธรรม เวชยชัย-พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

ด้าน “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) ประชุมหารือกรณีการฮั้วเลือก สว. โดยมี สว.ผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกมธ. สามัญประจำวุฒิสภา 21 คณะร่วมประชุมด้วย ซึ่งเป็นการหารือภายในแบบลับใช้เวลา 1 ชั่วโมง สรุปได้ว่า การตั้งข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง และเป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารเป็นเครื่องมือ โดยส่อเจตนาที่จะทำลายองค์กรวุฒิสภา ทำให้วุฒิสภาและสว.ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เพื่อล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ

“เราไม่กลัวการตรวจสอบ เราพร้อมและให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกับองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่คือ กกต.มาโดยตลอด ที่ประชุมวันนี้ได้มีมติร่วมกันคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ประธานวุฒิสภา ระบุชัดเจน

โดยมีรายงานว่า กลุ่มสว.เตรียมมาตรการตอบโต้ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม หากผลักดันให้คดีฮั้วเลือกตั้งสว. เป็น “คดีพิเศษ” ทั้งการเปิดอภิปรายทั่วไป ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ และส่งเรื่องให้ศาลรธน.ตีความอำนาจของดีเอสไอ สามารถวินิจฉัยกระบวนการเลือกตั้งสว.ได้หรือไม่ ที่สำคัญเวลารัฐบาลเสนอกฎหมายให้ “วุฒิสภา” กลั่นกรอง จะมีปัญหาเรื่องการให้ความเห็นชอบหรือไม่

นอกจากนี้ในทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยจะเอาคืนพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านกำลังยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ กลายเป็นว่า 2 พรรคร่วมรัฐบาล เล่นบท “ซ่อนดาบหลังรอยยิ้ม” โดยมีปมเหตุมาจาก “นายใหญ่” อยากกินรวบอำนาจการเมือง…นั่นเอง

……………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img