ช่วงนี้คงไม่มีพรรคการเมืองไหน ถูกจับตามองมากเท่ากับ พรรคกล้าธรรม (กธ.) ที่มี “อาจารย์แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” เป็น หัวหน้าพรรค มีภารกิจดูหน่วยงานระดับ A+ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ในฐานะ “รัฐมนตรีว่าการ” และมี “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา เป็น ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม
เนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นพรรคที่ตกอยู่ในสภาพหัวกระไดไม่แห้ง สส.และนักการเมืองทยอยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มอาจเกิดจากการคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 8 จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นการปักธงในพื้นที่ภาคใต้ได้เป็นครั้งแรก แถมยังคว้าชัยชนะเหนือพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เจ้าของพื้นที่เดิม และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไปอย่างขาดลอย
ชัยชนะดังกล่าว ยิ่งทำให้นักการเมืองหลายค่ายต่างให้ความสนใจ อีกทั้ง “บุคลิก” ของ “ผู้กองคนดัง” ในทางการเมืองต่างรู้กัน เป็นคน “ใจถึงพึ่งได้” พร้อมช่วยเหลือสส.ทุกพรรคการเมือง หากใครมีเรื่องเดือดร้อน ทั้งยังถือเป็น “มือทำงานการเมือง” ให้กับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี “ผู้มากบารมีเหนือรัฐบาล” ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับหลายคน ที่อยากจะเข้ามาร่วมงานทางการเมืองด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำพรรคกล้าธรรมแถลงทาบทาม “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” และ “การุณ โหสกุล” อดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคกล้าธรรม ซี่งทำให้หลายคนแปลกใจพอสมควร เพราะบุคคลทั้งสองมีความใกล้ชิดกับ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์” หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เพราะเคยร่วมงามกันมา ตั้งแต่สมัยสังกัดพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ต่อเนื่อง มาจนถึงพรรคเพื่อไทย (พท.) จนกระทั่ง “คุณหญิงสุดารัตน์” แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทย บุคคลทั้งสองยังยอมลาออกมาร่วมงานด้วย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจแยกทางกัน เพื่อมาร่วมงานการเมืองกับพรรคกล้าธรรม
“น.อ.อนุดิษฐ์” ให้เหตุผลว่า “การพูดคุย ตกผลึกมาพอสมควร หลังจากได้หารือและพูดคุยกับหัวหน้าพรรคกล้าธรรม ก็ได้ให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องภารกิจที่คาดว่า น่าจะมีการมอบหมายให้ตนและทีมงานทำต่อไป ถือเป็นงานการเมืองที่ท้าทาย และเป็นงานทางการเมือง ที่พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง คิดว่าในอนาคตอันใกล้ คงใช้ความรู้ความสามารถ ในการทุ่มเททำงานให้กับพรรคกล้าธรรมอย่างเต็มที่”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่สนิทกับคุณหญิงสุดารัตน์ ทางคุณหญิงสุดารัตน์เป็นอย่างไรบ้าง “น.อ.อนุดิษฐ์” กล่าวว่า “ได้กราบเรียนท่านตลอด ตนและนายการุณ เราไม่ได้ทำงานการเมืองและร่วมกิจกรรมทางการเมืองมาสักพักนึงแล้ว แต่ด้วยความเป็นนักการเมืองในพื้นที่ เราก็ลงพื้นที่มาต่อเนื่อง และได้ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตลอด จนนำมาสู่การตัดสินใจครั้งนี้”
มีรายงานว่า “พรรคกล้าธรรม” เตรียมมอบหมายให้ “น.อ.อนุดิษฐ์” ทำหน้าที่เป็น ประธานยุทธศาสตร์พรรค นั่นหมายความว่า ให้ความสำคัญนักการเมืองรายนี้พอสมควร

แต่ที่น่าสนใจคือ “ร.อ.ธรรมนัส” ระบุว่า “ก่อนการทาบทามอดีตนักการเมือง 2 ท่านนี้ ได้มีการพาไปพบนายทักษิณ” พร้อมบอกด้วยว่า “จะทำอะไร ต้องหารือที่มาที่ไปของแต่ละคนอยู่แล้ว วิถีชีวิตที่เคยอยู่กันมา เมื่อถึงเวลาแยกกันก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน”
คำถามคือ ทำไม “ร.อ.ธรรมนัส” ต้องนำอดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย เข้าพบ “ทักษิณ” แม้ว่าทั้งสองจะเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ก็ผ่านพ้นมานานพอสมควร
เลยยิ่งตอกย้ำว่า การขับเคลื่อนต่างๆ ของพรรคกล้าธรรม ล้วนเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย อยู่ในสายตาของ “ทักษิณ” ตลอด ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ “พรรคกล้าธรรมเปรียบเสมือนสาขาของพรรคเพื่อไทย” เพื่อหวังเจาะพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทย เข้าไปไม่ได้ เช่น ภาคใต้ เช่นเดียวกับ พรรคประชาชาติ (ปช.) ที่ยึดครองพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ช่วงเวลานี้จะเห็นว่า มีความพยายามกวาดต้อนสส. ให้เข้ามาร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมให้มากที่สุด หากในอนาคตเกิดปัญหาความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล มีพรรคใดพรรคหนึ่งถอนตัว รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะได้คงอยู่ได้ ไม่มีอันต้องล้มครืน หรือในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากพรรคกล้าธรรมจะช่วยในพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยเข้าไม่ถึง การพยายามทำตัวเลขสส.ให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้าหาก “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคกล้าธรรม” ร่วมกันสองพรรคได้เกินครึ่งของจำนวนสส.ทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การส่งให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ทำให้พรรคการเมืองอื่น ไม่มีอำนาจต่อรอง
จึงไม่แปลกที่ “ร.อ.ธรรมนัส” จะมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลเป็นอย่างมาก ได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรในรูปแบบต่างอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งการดูแลกระทรวงเกษตรฯ ก็เป็นตัวแทนจากพรรคกล้าธรรมทั้งหมด ไม่มี “รมช.” จากพรรคการเมืองอื่นเข้ามาปะปน อย่าลืมว่า “กระทรวงเกษตรฯ” ถือเป็นหน่วยงานระดับ A+ มีอำนาจดูแลโครงการต่างๆ การบริหารจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมือง หากบริหารจัดการได้ดี จะช่วยสร้างคะแนนนิยมให้รัฐบาลได้อย่างมาก
แม้ “อ.แหม่ม-นฤมล” ออกมายืนยันว่า “พรรคกล้าธรรมคือพรรคกล้าธรรม ไม่ใช่สาขาพรรคใดแน่นอน และเราก็จะสร้างบ้านและครอบครัวของเราขยายไปเรื่อยๆ อย่างเข้มแข็ง”
“เป้าหมายของเรา ไม่ได้คิดจะทำเพื่อประโยชน์ของพรรคกล้าธรรม แต่เรายึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เราไม่ได้สร้างคำพูดสวยหรู แต่เราเป็นแบบนั้นจริงๆ วันนี้ดิฉันกำกับดูแลกระทรวงเกษตรฯ หากมีความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราก็พร้อมที่จะลงไปช่วยแก้ไข เราพร้อมที่จะลงไปแก้ปัญหาทุกพื้นที่ และเชื่อว่าถ้านักการเมืองทุกคนทำงานแบบนี้ ประชาชนก็จะได้ประโยชน์” หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ระบุ
นอกจากนี้ อดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ที่ตัดสินเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม ยังมีอีกกรณี…ที่นำมาสู่ “วิวาทะทางการเมือง” ระหว่าง “พรรคกล้าธรรม” กับ “พรรคประชาชน” (ปชน.) หลัง “กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์” สส.ชลบุรี เขต 6 พรรคประชาชน แถลงถึงกรณีประกาศ “แยกทางกับพรรคประชาชน” เตรียมย้ายซบพรรคกล้าธรรมว่า “ลำบากใจที่จะมาขอยุติบทบาทกับพรรคประชาชน เพราะไม่อยากทำงานร่วมกับพรรคอื่น แล้วสังกัดอยู่ในพรรคเดิม อย่างนั้นคือ “งูเห่า” ชัดเจน ที่ทำงานกับพรรคเดิมไม่ได้ เพราะอุดมการณ์และแนวทางการทำงานต่างกัน ตนกล้าที่จะออกมาพูดว่า ขอให้พรรคขับตนเองออก เนื่องจากได้ยื่นหนังสือให้กับพรรคตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมาแล้ว”

จากนั้น “สส.กฤษฎิ์” ยังได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
1.สส.ยังคงดำรงตำแหน่งตามหน้าที่ปกติ รับเรื่องร้องเรียนและปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม
2.เมื่อพรรคยังไม่ขับออกสถานะก็ยังเป็นสส.พรรคปชน.จนกว่าพรรคจะขับออก
3.การลาออกมีข้อกฎหมายว่าต้องสังกัดพรรคใหม่ 60 วัน แต่ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วัน ซึ่งทำให้ “กฤษฎิ์” ขาดคุณสมบัติ และสิ้นเปลืองงบประมาณ
“ยืนยัน แม้พรรคประชาชนไม่ขับออก ก็จะไปรวมงานกับพรรคกล้าธรรม” สส.กฤษฎิ์ ยืนกราน
ส่วน “ร.อ.ธรรมนัส” ออกมาตอกย้ำว่า “จะมีการทยอยเปิดตัวนักการเมือง ที่จะเข้าร่วมกับพรรคกล้าธรรมรายสัปดาห์ ซึ่งอาจจะมี “บิ๊กเนม” และ สส.สมัยปัจจุบันมาร่วมด้วย ส่วนจะเป็น สส.พลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่นั้น ต้องบอกว่า สส.เหล่านั้นก็เป็นพี่น้องทั้งนั้น หลายคนเป็น สส. ก็เพราะตนช่วยมา ถ้าไม่มีตน ก่อนหน้านี้ก็คงเหนื่อย แต่ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน เพราะไปลุยศึกเลือกตั้งซ่อม จ.นครศรีธรรมราชมา”
“ยืนยันไม่ได้ไป “แจกกล้วย” ให้สส.ตามที่เป็นข่าว ต้องดูว่า แต่ละคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร ตอนนี้เหลือเวลาปีกว่า คงไม่มีใครไปทำอย่างนั้น” ร.อ.ธรรมนัส กล่าวย้ำ พร้อมปฏิเสธพรรคประชาชนว่า “พรรคกล้าธรรมไม่ได้มี “พลังดูด” เพียงแต่เป็นการดูว่า ใครทำประโยชน์ให้กับปชช.อย่างไรได้บ้าง เช่น สส.ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช สะท้อนปัญหาเรื่องร้านปาล์มตกต่ำ ร้านปาล์มไม่รับซื้อ ซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหานี้ทันที”
เชื่อว่าหลายคนรอลุ้นว่า จะมีนักการเมืองค่ายไหนมาเปิดตัว ขอร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมอีก เพราะจากชัยชนะที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งที่สส. เขต 8 นครศรีธรรมราช หรือแม้กระทั่งได้นักการเมืองอาวุโสอย่าง “น.อ.อานุดิษฐ์” มาร่วมงานด้วย ต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ ที่อาจจะมี “สส.จากค่ายสีส้ม” มาร่วมงานเพิ่มเติมอีก เพราะ “สส.บางคน” เห็นว่า โอกาสที่พรรคประชาชน จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลคงยาก เพราะต้องได้เสียงสส. 270 เสียงขึ้นไป จึงต้องหาทางเลือกใหม่
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ขณะนี้ สส.โซนภาคตะวันออกของพรรคประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชลบุรี ที่มีพรรคมี สส. 7 คน จากจำนวน สส.ชลบุรีทั้งหมด 10 คน เริ่มมีพรรคการเมืองซีกรัฐบาลหลายพรรค ติดต่อทาบทาม สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ให้ไปร่วมงานด้วย เพื่อเติมเสียงต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงเวลาที่มีกระแสข่าวปรับ ครม.ในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ โดยในส่วนของ “สส.กฤษฎิ์” จะไปร่วมงานกับพรรกล้าธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาส่วนตัว โดยทัศนคติเข้ากับพรรคและสส.ของพรรคประชาชนไม่ได้
นอกจากพรรคกล้าธรรมแล้ว ยังมีตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มาติดต่อด้วย แต่ “สส.กฤษฎิ์” แจ้งว่า เบื้องต้นได้ตกลงร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมแล้ว ขณะเดียวกันมีความพยายามติดต่อกับ สส.ชลบุรี ของพรรคประชาชน อีก 2-3 รายด้วย
ทำให้หลายคนมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาชน เหมือนเป็นแผน “รุมกินโต๊ะ” เพื่อเตรียมการเลือกตั้งในครั้งหน้า โดยในโซนภาคตะวันออกพรรคประชาชน มี สส. 17 คน จากจำนวน 29 เก้าอี้ทั่วทั้งภาค
เฉพาะในพื้นที่ จ.ชลบุรี “พรรคเพื่อไทย” มอบให้ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” และ “พรรคกล้าธรรม” จับมือแบ่งพื้นที่กัน พร้อมขอความร่วมมือจาก “บ้านใหญ่พรรคประชาธิปัตย์” ในการเจาะพื้นที่ จ.ระยอง ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” จะพุ่งเป้าที่ จ.สมุทรปราการ
นั่นหมายความว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” จะใช้รูปแบบเหมือนการเลือก “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” (อบจ.) มาใช้ในการ “เลือกตั้งสส.” โดยให้ “พรรคร่วมรัฐบาล” หลบหลีกพื้นที่กัน เพื่อไม่ให้ตัดคะแนนกันเอง
โดยใครมีโอกาสลุ้นในพื้นที่ไหน พรรคที่ไม่มีสิทธิ์ ก็เปิดทางให้ เพื่อไม่ให้สูญเสียทรัพยากร ไปลงสู้ในพื้นที่ที่มีโอกาสมากกว่า เป็นการยืนยันว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” หวังมุ่งสกัดกั้น “พรรคประชาชน” เต็มที่ และอาจจะใช้ “โมเดลในพื้นที่ภาคตะวันออก” ขยายไปยังพื้นที่อื่น เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคสีส้มตั้งเป้าต้องได้ สส. 270 เสียง เพื่อให้ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ป้องกันในกรณีที่ได้เสียงข้างมากแต่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แล้วไม่มีใครจับมือจัดตั้งรัฐบาลด้วย เหมือนการเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ค.66 จนทำให้ “พรรคประชาชน” ต้องตกอยู่ในสภาพเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน หลังพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถูกยุบพรรค ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) หลังมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112
ส่วน การแก้เกม “สส.กฤษฎิ์” ที่ต้องการย้ายออกจากพรรคประชาชน นอกจาก “แกนนำพรรค” จะไม่ยอมขับออก แต่ต้องการ “ดอง” ไว้ให้มีสภาพเป็น “งูเห่า” เพื่อให้ “ภาพลักษณ์ติดตัว” จนหมดวาระของสภาฯ
นอกจากนี้ยังส่ง “หนังสือแสดงเจตจำนง” ของ “สส.กฤษฎิ์” ที่ไม่ต้องการร่วมงานกับพรรคประชาชน ไปให้ “กรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ตรวจสอบ วินิจฉัยว่า เป็นหนังสือลาออกจากการเป็นสส.หรือไม่ เพราะถ้าเป็นหนังสือลาออก จะทำให้พ้นสภาพการเป็นสส.เขต 6 จ.ชลบุรีทันที และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ตามความต้องการของแกนนำพรรคสีส้ม

“เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ-หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณี “สส.กฤษฎิ์” ออกแถลงการณ์ 3 ข้อ ยืนยันยังทำงานได้เหมือนเดิมว่า “คิดว่าสิ่งที่พี่น้องประชาชนได้รับทราบตามข่าวสาร จะทราบดีอยู่แล้วว่า ใครเป็นผู้แทนของเขาตัวจริงในเขต 6 ชลบุรี แน่นอนว่าเขาเป็น “งูเห่า” ออกไป ทีมงานพรรคประชาชน ก็พร้อมที่จะสนับสนุนพื้นที่ต่อ ส่วนแคนดิเดตในอนาคต ก็รอกระบวนการ พรรคประชาชนก็อยากให้มีคนสมัครมาเยอะๆ และเมื่อไรที่เรามีตัวแทนเขต 6 ใน จ.ชลบุรี เราเองก็พร้อมจะเปิดตัวให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป”
เมื่อถามว่า มีการมองกันว่าเกมนี้พรรคประชาชนได้รับผลกระทบจากฝั่งรัฐบาล เนื่องจากเป็นการ “ดูด” เพื่อไป “เสริมทัพ” ฝั่งพรรคเพื่อไทย เอาไว้ “ต่อรองอำนาจ” กับ “พรรคภูมิใจไทย” โดย “ณัฐพงษ์” กล่าวว่า “พรรคประชาชนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนการเมืองในภาพรวม เราตอบแทนไม่ได้ว่า แต่ละพรรคมีวัตถุประสงค์อย่างไรในการดูด สส.เข้าไป เพื่อสร้างอำนาจต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี ที่อาจจะมีการปรับ ครม. ในอนาคตหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตอบแทนได้คือ การเมืองแบบนี้ ใช้วิธีการดูดข้ามพรรค โดยอาศัยช่องว่างทางรธน.ปัจจุบัน ผมคิดว่าเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่สวยงาม”
เมื่อถามว่าทาง พรรคกล้าธรรมจะเปิดตัวสส.อีก จะตั้งรับอย่างไร “ณัฐพงษ์” กล่าวว่า “ตอนเชื่อมั่นว่า เพื่อนๆ ที่เหลืออยู่ ไม่มีใครที่จะเป็นงูเห่า ตามข้อมูลที่ได้รับทราบมา ส่วนรายชื่อที่เขาบอกมาว่า มีกี่คนก็ตาม แต่ยังไม่ประกาศรายชื่อ คิดว่าถ้ามั่นใจในข้อมูล ก็บอกไปหลายครั้งแล้ว อยากให้เปิดเผยรายชื่อออกมา แฟร์ที่สุดสำหรับทุกฝ่าย เปิดชื่อออกมา จะได้เห็นว่า ใครเป็นใคร ถ้ามีตัวแทนของพรรคประชาชนอยู่ มั่นใจว่าเพื่อนร่วมพรรคสามารถชี้แจงได้”
จากนี้ไป ต้องรอดูว่า จะมีสส.หรือนักการเมืองจากค่ายไหน ไหลเข้าพรรคกล้าธรรมอีก โดยปัจจุบันพรรคน้องใหม่ทางการเมืองพรรคนี้ มีสส.รวม 26 คน (ยังไม่รวม “สส.กฤษฎิ์”) แต่เมื่อย้ายมาแล้ว อยู่ในสภาพถูกมองว่าเป็น “งูเห่า” ย่อมไม่เป็นผลดีกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
เพราะจะถูกมองว่า ส่งเสริมให้มีการดูดสส.จากพรรคฝ่ายค้าน มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับฝ่ายบริหาร ทั้งที่เคยบอกว่า “ไม่มีนโยบายซื้องูเห่า” จะกลายเป็น “จุดอ่อน” ให้ “รัฐบาลถูกโจมตี” จาก “ฝ่ายตรงข้าม” กระทบภาพลักษณ์ “ผู้นำฝ่ายบริหาร”
ทั้งจะทำให้ “ฝ่ายตรงข้าม” มาโจมตี ว่ามีส่วน “ทำลายระบบการเมือง” แทนที่จะเป็น “ผลดีกับรัฐบาล” กลับกลายเป็น “จุดอ่อน” และถูกนำไปขยายในช่วงหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าได้
………………………..
คอลัมน์..ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”