วันศุกร์, มิถุนายน 6, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTS“ทักษิณ”เล่นบท“ลูบหลัง”แล้ว“ตบหัว” บีบ“ภท.”คาย“มท.1”ลดพลังสีน้ำเงิน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ทักษิณ”เล่นบท“ลูบหลัง”แล้ว“ตบหัว” บีบ“ภท.”คาย“มท.1”ลดพลังสีน้ำเงิน

ใครก็รู้ในห้วงเวลาที่ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มี “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี เวลา “ทักษิณ ชินวัตร” บุพการีหัวหน้ารัฐบาล ออกมาให้ความเห็นทางการเมือง หรือปาฐกถาในเวทีต่างๆ จะ “ถูกตีความ” มากเป็นพิเศษ ทั้งข้อเสนอขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล หรือการทำงานในประเด็นต่างๆ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา การเดินทางไปร่วมงานของสื่อสำนักหนึ่ง และออกมาให้ความเห็นถึงความเป็นไปในการทำงานของฝ่ายบริหาร จึง “ถูกตีความมากเป็นพิเศษ”

โดยการเฉพาะการขอ “ยึดกระทรวงมหาดไทย” ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ที่ถูกเรียกขานเป็น “พรรคสีน้ำเงิน” มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” ทำหน้าที่ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย โดยอ้างว่า…“ที่ผ่านมาทำงานไม่เต็มที่” จึง “ถูกตีความมากเป็นพิเศษ” อีกครั้ง!!

อย่าลืมว่า พรรคภูมิใจไทยมี 69 สส. เป็นลำดับ 2 ของพรรคร่วมรัฐบาล หากถอนตัวออกไป รัฐบาลยังอยู่ได้ แต่เสียงสส.พรรคร่วมรัฐบาล ก็จะห่างกับ “ฝ่ายค้าน” ไม่มากนัก

อีกทั้งก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” เพิ่ง “เล่นบทหวาน” โอบคอ “อนุทิน” แสดงถึงความรักและใกล้ชิด ระหว่างเดินทางไปบรรยายที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)

ย้อนอ่านคำให้สัมภาษณ์ของ “ทักษิณ” หลังพิธีกรให้สวมบทเป็น “สื่อ” วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ที่มักต้องคุมกระทรวงสำคัญๆ ไว้ในมือ ทางพรรคเพื่อไทยควรมีคนของตัวเองไปเป็นรมว.มหาดไทย…หรือไม่ โดย “ทักษิณ” ระบุว่า “การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือ กระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่า กระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่”

เมื่อถูกถามว่า นายทักษิณผ่านการเมืองมาเยอะ และรู้จักพรรคเพื่อไทยดี รอบนี้พรรคเพื่อไทยจะกล้ายึดหรือไม่ “ทักษิณ” ตอบว่า “ยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่า ให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว”

เมื่อถามว่า แล้วพรรคร่วมรัฐบาลที่มี 69 เสียง เขาจะยอมหรือไม่ ในเมื่อกระทรวงนั้นคือ หัวใจหลักคุมอำนาจบริหาร และเอาชนะทางการเมือง “ทักษิณ” กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทย อยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ”

ถามต่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเอากระทรวงมหาดไทยมาได้ คิดในฐานะนักวิเคราะห์ ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยเขาจะกล้าถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ “ทักษิณ” กล่าวว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอน ก็อยู่ด้วยกันมา แต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้”

จริงๆ ก่อนหน้านั้น ใครก็คาดหมายว่า การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตามสไตล์การทำงานของพรรคเพื่อไทย เวลาได้เป็นแกนนำรัฐบาล จะปรับครม.ภายใน 6 เดือน เนื่องจากมีสส. เป็นจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องสลับเก้าอี้ แบ่งปันให้สมาชิกพรรคคนอื่นๆ ได้เข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร

แต่การเปิดประเด็นของ “ทักษิณ” ครั้งนี้ เป็นการเสนอ “สลับกระทรวง” ซึ่งตามมารยาททางการเมือง มักไม่มีใครกล้าทำ เพราะต้องคำนึงถึง “ความรู้สึกของพรรคร่วมรัฐบาล” และต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจจาก “เพื่อนร่วมงาน” ด้วย

แต่ “ทักษิณ” พูดคราวนี้ เหมือนไม่แคร์ความรู้สึกแกนนำพรรคภูมิใจไทย ในทำนอง “เราไม่สามารถควบคุม การตัดสินใจของแต่ละพรรคได้” เหมือนกับมีความมั่นใจว่า แม้พรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงมากเป็นอันดับ 2 จะไม่อยู่ในรัฐบาลต่อไป ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนท่าทีของ “อนุทิน” ที่ออกมาตอบคำถามของผู้สื่อข่าวถึงการปรับครม. โดยเฉพาะกระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทยจะให้ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มาคุมกระทรวงมหาดไทยแทนว่า “ยังไม่มีการพูดเรื่องการปรับ ครม.กับนายกฯ หรือนายทักษิณ ชินวัตร เพราะเมื่อนายกฯบอกว่าไม่มีอะไร ก็ต้องเชื่อนายกฯ จึงต้องถามนายกฯถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนกระทรวง เพราะเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาตัดสินในการปรับเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีการปรับเปลี่ยนกระทรวง จะเกิดปัญหาหรือไม่ “อนุทิน” กล่าวว่า “ทำงานมา 2 ปีแล้ว การเข้าร่วมเป็นรัฐบาล ก็มีข้อตกลงกันอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ทุกคนก็ทำงานสนองนโยบายนายกฯ ตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ มาจนถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทุกกระทรวงทำงานสนองนโยบายนายกฯทั้ง 2 คน อย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ก็ดีไม่ได้มีปัญหาอะไร”

เหมือนเป็นการยืนยันว่า การปรับเปลี่ยนใน ครม.ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของ “นายกฯ” แต่ใครก็รู้ว่า “ทักษิณ” มีบทบาทมากแค่ไหนในรัฐบาลชุดนี้

การที่ “อนุทิน” อ้างถึงข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่สมัย “เศรษฐา” เป็นนายกฯ แต่ก็ต้องยอมรับว่า สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงได้ตลอด หากพรรคแกนนำรัฐบาลเห็นว่า มีความจำเป็นบางอย่าง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ย่อมต้องผลักดันจนถึงที่สุด

ยิ่งท่าทีของ “แพทองธาร” ออกมาตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ถึงการสลับกระทรวง ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยตอบว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้ อย่างที่พูด ทุกเรื่องตอนเลือกตั้ง ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ พูดคำเดิม ทุกอย่างมันก็เป็นไปได้ และเป็นอะไรที่เราไม่ได้วาดหวังวาดคิดไว้ ก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็เช่นกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้”

พร้อมย้ำด้วยว่า “คุณทักษิณให้คำปรึกษา ลูกสาวของคุณทักษิณรับไว้พิจารณา” นั่นหมายความว่า ไม่ได้ปิดทางในการขอแลกเปลี่ยนกระทรวง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น “หัวหน้ารัฐบาล” จะยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องปรับครม.ก็ตาม

แต่อาจเป็นเพราะเวลานี้ สถานการณ์เปลี่ยน “ผู้มากบารมีเหนือรัฐบาล” จึงหวังยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ให้มีใครมาต่อรองได้

นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวตอกย้ำว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจจะขอกระทรวงมหาดไทยมาบริหารเองแน่นอน โดยเตรียมเสนอกระทรวงให้พรรคภูมิใจไทย เลือก 2 กระทรวง แลกกับเก้าอี้ “รมว.มหาดไทย” ได้แก่ “กระทรวงพาณิชย์” “กระทรวงสาธารณสุข” หรือ “กระทรวงดีอี” 

โดยคาดกันว่า แกนนำทั้งสองพรรคจะพูดคุยกัน เพื่อให้ได้ความชัดเจนก่อนกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งตามปกติแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลหากไม่ได้ดูแล “กระทรวงมหาดไทย” ที่อยู่ในระดับ “เอบวก” ก็ต้องได้ควบคุม “กระทรวงคมนาคม” ซึ่งมีความสำคัญในระดับเดียวกัน เนื่องจากมีโครงการและงบประมาณเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ตั้งแต่ในยุค “เศรษฐา” เป็นนายกฯ ต่อเนื่องมาจนถึง “แพทองธาร” พรรคเพื่อไทยไม่ย่อมปล่อยกระทรวงคมนาคม จึงยอมให้พรรคภูมิใจไทย ดูแลกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งหน่วยงานที่นำมาแลกเปลี่ยนกับพรรคภูมิใจไทย ก็ถือเป็น “เกรดบี” จึงต้องวัดใจ “พรรคสีน้ำเงิน” จะยอมหรือไม่

ทั้งนี้ แกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้หารือร่วมกับ “แพทองธาร” เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ซึ่ง “แพทองธาร” ตัดสินใจปรับครม.แล้วแน่นอน คาดว่าจะมีการปรับในสัปดาห์นี้ โดยเห็นว่าเป็นช่วงจังหวะการเมืองที่เหมาะสม

นอกจากนี้ มีการตัดสินใจปรับตำแหน่ง “รมว.มหาดไทย” โดยพรรคเพื่อไทยจะเข้าบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง เพื่อสร้างผลงานปราบยาเสพติด ลงถึงตำบล หมู่บ้าน รวมทั้งจะอัดฉีดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจลงสู่หมู่บ้าน ชุมชน ผ่านกองทุนหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา “อนุทิน” ได้ขอลางานกับ “หัวหน้ารัฐบาล” เพื่อเดินทางไปกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นการเจรจาพูดคุยกันเรื่องการปรับครม. อาจเลื่อนเป็นสัปดาห์หน้า ถ้าหาก “หัวหน้ารัฐบาล” ต้องการปรับเปลี่ยนจริงๆ ซึ่งคงมีการหารือในระดับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก่อน

คำถามคือ “ทำไมทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ต้องการดึงกระทรวงมหาดไทยมาดูแลเอง” นอกจากข้ออ้างเพื่อสร้างผลงานปราบยาเสพติด ลงถึงตำบล หมู่บ้าน รวมทั้งจะอัดฉีดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจลงสู่หมู่บ้าน ชุมชน ผ่านกองทุนหมู่บ้าน อาจมีปัจจัยต่างๆ ประกอบ คือ

1.กระทรวงมหาดไทย มีบทบาทในการสนับสนุนการเลือกตั้ง มีกลไกสำคัญ ทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งจากการที่พรรคภูมิใจไทย ดูแลกระทรวงมหาดไทย ได้จัดวางบุคคลต่างๆ ไว้ในตำแหน่งสำคัญ  และได้รับการสนับสนุนการทำงานจากข้าราชการอย่างเต็มที่

2.พรรคเพื่อไทยอาจไม่มั่นใจผลการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่าอาจประสบความพ่ายแพ้ต่อพรรคประชาชน (ปชน.) แต่หากต้องเป็นฝ่ายแพ้จริง ก็คงไม่ต้องการให้พรรคสีส้มได้สส.เกินครึ่งของสภาฯ (เกิน 250 เสียง) ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้สร้างพันธมิตรทางการเมืองเช่น พรรคกล้าธรรม (กธ.), พรรคโอกาสใหม่ ซึ่งมี “นายทุนคนสำคัญ” สนับสนุนอยู่ และมีความใกล้ชิด “ทักษิณ”

3.ความไม่พอใจพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ยอมสั่งให้ สว.ส่วนใหญ่ หยุดเลือกบุคคลต่างๆ ในองค์กรอิสระ หรือเดินหน้าในการตรวจสอบบุคคลต่างๆ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ ในการสร้างความได้เปรียบทางการเมือง อีกทั้ง “สว.เสียงข้างมาก” ที่ถูกยกให้เป็น “สว.สีน้ำเงิน” กลับเดินหน้าตรวจสอบนโยบายสำคัญของรัฐบาล เช่น ตั้งกรรมาธิการ (กมธ.วิสามัญ) ตรวจสอบพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เมนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่มี “กาสิโน” อยู่ 10% ของพื้นที่

โดย “คณะกมธ.สาธารณสุข” และ “คณะกมธ.การกฎหมายและการยุติธรรม” ของวุฒิสภา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ “แพทยสภา” มีมติลงโทษกรณีชั้น 14 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องจากคดีจริยธรรมของแพทย์ที่ถูกกล่าวโทษว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมและวิชาชีพเวชกรรม ในการดูแลผู้ต้องขังระดับสำคัญมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับรพ.ราชทัณฑ์และรพ.ตำรวจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ทักษิณ” เต็มๆ และ “ผลสรุป” ออกมาใน “ทางลบ” ย่อม “สร้างผลกระทบ” กับ “อดีตนายกฯ”

นอกจากนี้ ก่อนการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 “อนุทิน” ตอบคำถามสื่อ หลังถูกถามว่า พรรคประชาชนไม่มีนโยบาย ม.112 แล้ว ในอนาคตจะมีแนวทางการทำงานร่วมกันหรือไม่ โดยระบุว่า “วันนี้ต้องเลิกพูดว่า พรรคนั้นจับกับพรรคนี้ หรือพรรคนั้นจับกับพรรคโน้นไม่ได้…สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ สามารถสรุปได้ว่า ไม่มีพรรคอะไร จับมือกับพรรคอะไรไม่ได้ แต่ความจริงก็เป็นเรื่องที่ถูก เพราะเราไม่ได้มีความจงเกลียดจงชังกัน แต่เมื่อมีความเห็นหรือนโยบายที่ไม่ตรงกัน หรือนโยบายที่อีกฝ่ายรับไม่ได้ ณ ขณะนั้น ก็อย่าเพิ่งจับกัน แต่ในอนาคตข้างหน้านโยบายต่างคนต่างรับได้ ต่างคนต่างพยายามหาสิ่งที่ทำได้ แล้วเกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน และขับเคลื่อนไปด้วยกันได้ ก็ไม่ควรมีข้อจำกัดอะไรขึ้นมา”

คำพูดดังกล่าว อาจทำให้ “ทักษิณ” มีความรู้สึกว่า พรรคสีน้ำเงินเล่นบทแทงกั๊ก เพราะในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าไม่มีพรรคการเมืองได้เสียงเกินครึ่ง ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยอาจเป็นตัวแปรสำคัญ ไปอยู่รวมกับพรรคสีแดงหรือสีส้ม พรรคนั้นก็จะได้เสียงเกินครึ่งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ประกอบกับ “ฐานเสียง” ระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย ในพื้นที่ภาคอีสาน ก็มีความทับซ้อน ต้องพึ่งพา “บ้านใหญ่” ดังนั้นการทำให้ “พรรคสีน้ำเงิน” อ่อนแรงมากที่สุด อาจเป็นความตั้งใจของ “ผู้มากบารมีเหนือเพื่อไทย”

การจะให้ “เพื่อไทย” ได้เสียงมากที่สุด และหวังให้ “แพทองธาร” กลับมาเป็นนายกฯสมัยที่สอง ซึ่งเป็นความหวังของ “ทักษิณ” เป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะผลงานของรัฐบาล หลายเรื่องยังไม่โดนใจ เรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ   ปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลอ่อนข้อให้กับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านมากเกินไป ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาดินแดน ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐต้องเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วง

จากนี้ไปต้องรอดูในที่สุด ถ้า “เพื่อไทย” ขอแลกกระทรวงมหาดไทยจริง “ภูมิใจไทย” จะยอมหรือไม่ 

หรือจะตัดสินใจไปทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน เพราะถือว่า “เสียศักดิ์ศรี” เนื่องจากที่ผ่านมา “อนุทิน” ในฐานะ “รมว.มหาดไทย” ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับรัฐบาล หรืออาจจะยอมอยู่ในฝ่ายบริหารต่อไป เพราะหากเป็นฝ่ายค้าน ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อาจไม่มีผลงานฝ่ายบริหารไปใช้หาเสียง นอกจากนี้ยังมีพ.ร.บ.งบประมาณฯ 69 เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาฯในวาระแรก ยังต้องใช้เวลาก่อนจะผ่านวาระที่สาม และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา  ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ สำหรับการผลักดันโครงการต่างๆ

แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยขอยอมทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน การเมืองก็จะร้อนมากขึ้นแน่ๆ เสียงของพรรคฝ่ายค้านเพิ่มขึ้น-เสียงของรัฐบาลลดลง  “กระบวนการนิติสงคราม” อาจถูกนำมาใช้อย่างหนัก

ยิ่งก่อนหน้านี้ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” อดีตรองประธานสภาฯ และอดีต สส.หลายสมัย ซึ่งเป็นบิดาของ “ภราดร ปริศนานันทกุล” สส.พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 รวมถึง “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” สส.พรรคเดียวกัน ได้ออกมาแสดงจุดยืนเตือนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเขียนข้อความว่า…“เขาคือใคร? อย่างนี้ก็ได้หรือ มาตรา 28 แห่งพ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคการเมือง กระทำการครอบงำ หรือชี้นำพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม…” มาตรา 29 ห้ามผู้ใดที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจการของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรค หรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม  ซึ่งในอนาคตหากมีคนไปร้อง ย่อมกระทบสถานะหัวหน้ารัฐบาล”

นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทย ยังมี “เนวิน ชิดชอบ” เป็น “ครูใหญ่” ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างยาวนาน เคยเป็น “ขุนพลข้างกายทักษิณ” ก่อนจะแยกตัวออกมา ซึ่งคอยให้ความเห็นและชี้แนะในประเด็นต่างๆ กับพรรคภูมิใจไทย 

หรืออาจจะ “เกิดสงครามตัวแทน” ของ “2 พรรคการเมือง” อีกครั้ง ทั้ง “ทักษิณ” และ “เนวิน” ก็ถือเป็นที่มีบทบาทสำคัญ โดย “คนหนึ่ง” จะออกหน้า ชอบชี้นำในประเด็นต่างๆ ส่วน “อีกคน” ไม่ชอบออกหน้าสื่อ แต่มี “อิทธิฤทธิ์” และ “บารมีไม่ธรรมดา” จึงต้องรอดูว่า บทสรุปจุดจบของ “พรรคสีแดง” และ “พรรคสีน้ำเงิน” จะจบอย่างไร???

………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

ซาก“แผงโซลาร์เซลล์”จะไปไหนต่อ?

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img