วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 12, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTSดีเอ็นเอ“ลุงตู่”เปิดศึก“รวมไทยสร้างชาติ” ได้“แบ็คอัพ”ดี!!“เสี่ยเฮ้ง”กล้าหัก“บิ๊กตุ๋ย”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ดีเอ็นเอ“ลุงตู่”เปิดศึก“รวมไทยสร้างชาติ” ได้“แบ็คอัพ”ดี!!“เสี่ยเฮ้ง”กล้าหัก“บิ๊กตุ๋ย”

ทำไปทำมา การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อาจจะเริ่มต้นที่ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) มากกว่า “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) หลังมีข่าว  21 สส.พรรค รทสช. นำโดย “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น” สส.บัญชีรายชื่อ และรมช.พาณิชย์ ลงนามในหนังสือที่ทำถึง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เรื่องข้อเสนอการปรับครม.ในสัดส่วนของพรรค รทสช.

โดยเนื้อหาในหนังสือ ระบุว่า “รัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรครทสช. ยังขาดความรู้ความสามารถในการบริหารงาน รวมถึงการผลักดันนโยบาย และการสร้างผลงานของรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถตอบสนอง ต่อความคาดหวังของพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจากพรรค รทสช. โดยเฉพาะในกรณีที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งปรากฏเป็นข่าวในหลายกรณี อันอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาลโดยรวม 

กรณีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายการกระทำอันขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 186 และ 184 ซึ่งว่าด้วยการใช้อำนาจแทรกแซง การปฏิบัติงานของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ตลอดจนประเด็นที่อาจเข้าข่ายการกระทำอันขัดต่อ รธน.มาตรา 219 ซึ่งว่าด้วยการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันอาจส่งผลต่อสถานภาพและคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี”

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ดูจากเหตุผลในการขอปรับครม.นั้น เท่ากับกระทบ “บิ๊กตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ไปเต็มๆ ในฐานะ “หัวหน้าพรรค รทสช.”  รวมทั้ง “เดอะขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธ์” รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะ “เลขาธิการพรรค รทสช.”

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 6 พ.ค.68 น.ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักงานนายกฯ “ว่าที่ร้อยเอกไตรภพ นครชัยกุล” อดีตหัวหน้าพรรค รทสช., “อาทิตย์ ตั้งธรรม” อดีตกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) รทสช., “อัมรัน เจ๊ะเลาะ” สมาชิกพรรค รทสช. และประธานสาขาพรรค รทสช. อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เดินทางมายื่นหนังสือถึง “นายกฯแพทองธาร” เพื่อขอให้ ปลด “พีระพันธุ์” เช่นกัน

ตามปรากฏข้อมูลที่ยืนยันว่า (1) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ถูกกล่าวหากรณีแจกถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งเป็นงบประมาณของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเงินงบประมาณจากรัฐ แต่กลับติดสติกเกอร์รูปและชื่อของตนเอง เป็นการใช้ทรัพย์สินของหลวงเพื่อประโยชน์ของตนเอง อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กระทำขัดต่อผลประโยชน์ทับซ้อน โดยถูกป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาเพื่อให้รับทราบข้อกล่าวหา ภายในวันที่ 15 พ.ค.68 นี้

(2) ข้อมูลถือครองหุ้นและเป็นกรรมการบริษัท อันเป็นเอกสารมหาชน อย่างชัดแจ้ง ความปรากฏ แก่นายทะเบียนพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าในปัจจุบัน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังเป็นผู้ถือหุ้น รายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ของบริษัท รพีโสภาค จำกัด บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด และ บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือ รับรองรายการผู้ถือหุ้น (บอจ.5) เอกสารที่แนบมาด้วย

เช่นเดียวกับ “สนธิญา สวัสดี” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เข้ายื่นคำร้องต่อ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบการกระทำที่จะฝ่าฝืน รธน. และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. 2561 ของ “พีระพันธุ์” ในการถือหุ้น และเป็นกรรมการบริหาร จำนวน 4 บริษัท

“อย่าลืมว่านายพีระพันธ์เป็นรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค รทสช. เป็นบุคคลสาธารณะที่จะต้องได้รับการตรวจสอบ จึงขอเรียกร้องตาม รธน. เกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม คุณธรรม ซึ่งทำให้นักการเมืองหลายคนใน 3-4 ปีที่ผ่านมา ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปตลอดชีวิตแล้ว และอยากให้การบังคับใช้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นไปโดยชอบธรรมเหมือนทุกๆคนที่เขาปฏิบัติกัน” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองคงดัง กล่าวย้ำ

นอกจากนี้สื่อบางสำนักยังนำเสนอข้อมูลจาก คณะกรรมการไต่สวน สำนักงานป.ป.ช. หลังออก หมายเรียกรอบ 2 ให้ “พีระพันธุ์” มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 4 มิ.ย.68 นี้ กรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเนื่องจากไปแจกถุงยังชีพช่วยเหลือน้ำท่วม แต่กลับมีรูปภาพและชื่อของตนเองอยู่อยู่บนถุงยังชีพทั้งที่ของในถุงยังชีพ แต่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจ

แต่ “พีระพันธุ์” ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงกรรมการ ป.ป.ช. ทุกราย โดยอ้างว่า การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนตนเอง “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เพราะในขั้นตอนตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ไม่เคยเรียกให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง นอกจากนั้นการออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.68 ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะเดียวกันตนเองมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่สามารถไปรับทราบข้อกล่าวหาได้

“นายพีระพันธุ์อ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลไม่หวังดี ซึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นไม่ได้เปิดโอกาสให้ชี้แจง การตั้งคณะกรรมการไต่สวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย” แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าว กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ยืนยันว่า ขั้นตอนการดำเนินการของ ป.ป.ช. เป็นไปตามกฎหมาย ในขั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง เพราะเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนแล้ว ถ้าเห็นว่า ข้อกล่าวหามีมูลเพียงพอ ก็จะแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งในขั้นตอนนี้ ผู้ถูกกล่าวหาจะมีโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ละแสดงพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้

“ถ้าคำชี้แจงและพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหาฟังขึ้น คณะกรรมการไต่สวนจะสรุปความเห็นเพื่อเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่เพื่อพิจารณา ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นด้วย ก็จะยกคำร้องอยู่แล้ว” แหล่งข่าวกล่าว

อีกทั้งเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.68 “สุธี กรกมลพฤกษ์” อดีตข้าราชการ ได้เดินทางไปที่ทำการพรรค รทสช. เพื่อมายื่นหนังสือถึง “พีระพันธุ์” โดยในหนังสือสรุปว่า “ขอให้พิจารณาตัดสินใจยุติบทบาททางการเมืองชั่วคราว”

โดย “สุธี” ให้เหตุผลว่า “อยู่ในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญาครั้งที่มีการนำคดีโฮปเวลล์เข้ามาพิจารณา และจากการซักถามและตอบคำถามจากผู้แทนของการรถไฟ จึงได้รับทราบว่า บริษัทโฮปเวลล์ฯไม่ได้กระทำผิดเลย ซึ่งถ้าหากยังจำกันได้ นายพีระพันธ์มีบทบาทสำคัญ ที่เสนอให้ยื่นฟ้องบริษัทดังกล่าว”

จะเห็นว่าที่ผ่านมา “พีระพันธุ์” มี ข้อร้องเรียนต่างๆ หลายเรื่อง จนกลายเป็นข้อสงสัยในเรื่อง “คุณสมบัติ” แม้จะถูกตั้งข้อสังเกตว่า “บรรดานักร้อง(เรียน)” รับงานมาหรือเปล่า แต่การที่ “หัวหน้าพรรค รสทช.” ยังเล่นบท “เตมีย์ใบ้” ไม่ยอมชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ตอบข้อสงสัยของสื่อ เลยกลายเป็น “จุดอ่อน” ให้ “ฝ่ายตรงข้าม” นำมาโจมตี

ทั้งยังมี ปัญหาขัดแย้ง กับ “นักธุรกิจดังคนสำคัญ” ที่เคยให้การสนับสนุนพรรคมาก่อน ยิ่งกลายเป็นการ “เปิดช่อง” ให้ “นักการเมืองร่วมพรรค-ต่างพรรค” นำประเด็นต่างๆ มา “ดิสเครดิต” หวังเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือดึงสส.บางคนจากพรรค รทสช. ที่มี 36 คน ไปร่วมทำกิจกรรมกับ “พรรคโอกาสใหม่” ที่มี “นักธุรกิจดังคนดังกล่าว” เป็น “แบ็คอัพคนสำคัญ”

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์

ด้าน “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะ เลขาธิการพรรค รทสช. ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการเผยแพร่เอกสารรายชื่อ 21 สส.พรรค รทสช. ยื่นขอปรับครม.ว่า “เป็นเอกสารจริงหรือไม่ ไม่ทราบว่า มีการยื่นเอกสารไปถึงนายกฯจริงหรือไม่ มีหลายข้อพิรุธ  สส.หลายท่านออกมาปฏิเสธ  สส.ชุมพร 3 คน ที่บอกว่า ไปในพื้นที่ แล้วถูกคนด่า ทำให้คนเข้าใจผิด ก็ต้องรีบออกมาชี้แจง เรื่องที่ 2 คือ เรื่องเนื้อความ เขียนว่ารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ขาดจริยธรรม ลงชื่อโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กำลังด่าตัวเองอยู่ว่า ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ และขาดจริยธรรม ก็ต้องไปถามนายสุชาติว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อีกทั้งหลายลายเซ็นไม่ตรงกับลายเซ็นที่ใช้ในเอกสารราชการ มีคนออกมาปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 5 คน นี่มันเอกสารเถื่อนแล้ว”

“เอกนัฏ” กล่าวด้วยว่า “ขอเตือนว่า หากมีการกระทำความผิดต่อข้อบังคับร้ายแรง เช่น การฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น ผิดจริยธรรมร้ายแรง บิดเบือนเอกสาร และปลุกปั่นความแตกแยกภายในพรรค เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง สิ่งเหล่านี้อาจมีผลทำให้ขาดสมาชิกภาพ ขอให้ไปอ่านดูดีๆ”

เมื่อถามว่า นายสุชาติมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ “เอกนัฏ” ตอบว่า “ขอให้ไปถามเจ้าตัวเอง เพราะขณะนี้ยังไม่รับสายตนเองเลย ฝากบอกนายสุชาติให้รับสายด้วย ให้คุยกันแบบลูกผู้ชาย ที่ผ่านมาก็ดีกัน แต่มาเกิดอะไรขึ้นแบบนี้จึงสงสัย ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร”

เมื่อถามว่า มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร กับภาพรับประทานอาหารและเอกสารหลุด “เอกนัฏ” บอกว่า “เตรียมใจไว้แล้ว ผมเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ เขาก็ต้องใช้ทุกวิธีในการจัดการ เชื่อว่ามีคนที่ขาดผลประโยชน์ ที่กำลังสร้างเรื่องนี้ ให้เกิดความแตกแยกเชื่อเรื่องนี้ เป็นหน้าที่สื่อมวลชน ไปตามหาข้อเท็จจริง สาวลึกลงไปให้ได้ว่า บุคคลที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้เป็นใคร ซึ่งใครก็รู้เป็นใคร

สำหรับรายชื่อ 21 สส. รทสช. ที่เข้าชื่อยื่นหนังสือถึงนายกฯ ประกอบด้วย สส.บัญชีรายชื่อ 7 คนคือ 1.สุชาติ ชมกลิ่น 2.พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ 3.ธนกร วังบุญคงชนะ 4.เกรียงยศ สุดลาภา 5.ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ 6.เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ 7.อนุชา นาคาศัย

ส่วนสส.เขต 14 คน ประกอบด้วย 1.ศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา 2.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช 3.วิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร 4.สันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร 5.สุพล จุลใส สส.ชุมพร 6.วัชระ ยาวอหะซัน สส.นราธิวาส 7.พิพิธ รัตนรักษ์ สส.สุราษฎร์ธานี 8.พันธ์ศักดิ์ บุญแทน สส.สุราษฎร์ธานี 9.ปรเมษฐ์ จินา สส.สุราษฎร์ธานี 10.ถนอมพงษ์ หลีกภัย สส.ตรัง 11.กุลวลี นพอบรมดี สส.ราชบุรี 12.ธิวัลรัตน์ อังกินันท์ สส.เพชรบุรี 13.จ่าสิบเอกอภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรบุรี 14.จิรวุฒิ สิงโตทอง สส.ชลบุรี 

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา “วิชัย สุดสวาท” สส.ชุมพร พรรค รทสช. โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “ในฐานะตัวแทนของ สส.ทั้งสามเขตของ จ.ชุมพร ขอยืนยันว่า พวกเราไม่เคยได้ลงชื่อในหนังสือถึงนายกฯให้ปรับครม.ในสัดส่วนของพรรค รทสช. ที่ปรากฏตามข่าว เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง” ซึ่งคงต้องรอดูว่า จะมีใครออกมาปฏิเสธอีกหรือไม่

ก่อนหน้านี้ จะเห็นภาพ “สุชาติ” เดินสายกินข้าวกินกาแฟ กับสส.กลุ่มต่างๆ ในพรรค รทสช.อย่างต่อเนื่อง  แม้กระทั่งมีข่าวจะไปร่วมงานกับ “พรรคโอกาสใหม่” หรือเป็นเพราะ เห็นสถานะของ “พีระพันธุ์” กำลังสั่นคลอน เลยยื่นเงื่อนไขให้กับ สส.พรรค รทสช. มาร่วมงานกับตัวเอง เพื่อยึดอำนาจภายในพรรค เพราะหากถูกขับออก ก็จะไปร่วมงานกับพรรคโอกาสใหม่ได้ และมีโอกาสเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย 

เพราะสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง อาจจะประกอบด้วย “พรรคเพื่อไทย-พรรคกล้าธรรม-พรรคโอกาสใหม่” จึงเป็นเส้นทางที่ “สุชาติ” อาจจะเลือก เพื่อความเติบโตของตัวเองในอนาคต

ศึกภายในพรรค รทสช. คงไม่จบง่ายๆ เพราะมีผลต่ออนาคตทางการเมือง ทั้งกับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” และ “สุชาติ ชมกลิ่น” แม้ทั้งสองคน จะเคยมี “ดีเอ็นเอ” ของ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แต่เมื่อมีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ละคนก็ต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง 

แต่หาก “สุชาติ” ยึดพรรค รทสช. สำเร็จ หรืออีกทางหนึ่ง กวาดต้อนสส.ไปร่วมกับ “พรรคโอกาสใหม่” ได้มากเท่าไหร่ หนทางที่จะได้รางวัลตอบแทนย่อมสูงตามไปด้วย คงไม่ใช่แค่ “รัฐมนตรีว่าการ” แน่ๆ

……………………………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img