วันพุธ, มิถุนายน 25, 2025
หน้าแรกCOLUMNISTS‘พรรคร่วมรัฐบาล’แห่กันอุ้ม‘แพทองธาร’ จับตา‘นิติสงคราม’ดาหน้าเชือด‘คลิปลับ’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘พรรคร่วมรัฐบาล’แห่กันอุ้ม‘แพทองธาร’ จับตา‘นิติสงคราม’ดาหน้าเชือด‘คลิปลับ’

ห้วงเวลาวิกฤติที่สุดของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี น่าจะผ่านพ้นไปได้ อย่างน้อยก็ซักช่วงเวลาหนึ่ง หลังปรากฏ “คลิปลับ” การสนทนาระหว่าง “ผู้นำรัฐบาลไทย” กับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภา อดีตนายกฯกัมพูชา

แต่ภาพการปรากฏตัวของ “หัวหน้า-แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ที่หารือกับ “แพทองธาร” ในเรื่อง การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แทนตำแหน่งที่ว่าง 8 ตำแหน่ง หลัง “พรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่หารือกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง ขาดเพียง “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ติดภารกิจในต่างจังหวัด

สำหรับ “หัวหน้า-แกนนำพรรคร่วมฯ” ที่หารือในครั้งนี้ ประกอบด้วย “พรรครวมไทยสร้างชาติ” มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค, “พรรคประชาธิปัตย์” (ปชป.) มี “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช.สาธารณสุข ในฐานะเลขาธิการพรรค

“พรรคกล้าธรรม” (กธ.) มี “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค, “พรรคชาติไทยพัฒนา” (ชทพ.) มี “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ประภัตร โพธสุธน” เลขาธิการพรรค, “พรรคประชาชาติ” (ปช.) มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรค และ “ซูการ์โน มะทา” เลขาธิการพรรค, “พรรคชาติพัฒนา” (ชพน.) มี “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานพรรค เข้าร่วมฯ

ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) มี “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรค และ “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค รวมไปถึง “นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ร่วมหารือ

เท่ากับเป็นหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังนำเก้าอี้รัฐมนตรี ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยที่ถอนตัวออกไป มาแจกจ่ายให้พรรคร่วมรัฐบาล หวังซื้อใจให้เพื่อนอยู่ร่วมงานต่อ ดูเหมือนจะได้ผล เพราะธรรมชาติของการเมือง ผลประโยชน์ส่วนตัว ล้วนอยู่เหนืออุดมการณ์

หลังการหารือ “นายกฯแพทองธาร” ได้โพสต์ภาพ ผ่านโซเชียลร่วมกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมระบุข้อความว่า “ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า สามัคคีประเทศไทย รวมพลังผลักดันนโยบาย แก้ไขปัญหาเพื่อประชาชน ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) และสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลทุกท่าน ที่มีมติและประกาศแนวทางสนับสนุนรัฐบาล ร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อรับมือต่อภัยคุกคามความมั่นคงของชาติจากภายนอก และขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน”

ที่ไป-ที่มาของการพบปะครั้งนี้ สืบเนื่องจากจากปรากฏ “คลิปหลุด” การสนทนาระหว่าง “ฮุน เซน”  กับ “นายกฯแพทองธาร” เกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเป็นการนสนทนาผ่านล่าม โดย “ฮุน เซน” ยอมรับว่า “ผมจำเป็นต้องบันทึกเสียงสนทนาและเพื่อให้มีความโปร่งใสในกิจการภายในของกัมพูชา”

ที่น่าสนใจก็คือ “เนื้อหาในคลิปสนทนา” ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศ ทั้งโลกออนไลน์และภาคส่วนที่ติดตามเรื่องนี้ ล้วนแสดงความไม่พอใจ และเรียกร้องให้ “หัวหน้ารัฐบาล ลาออก หรือยุบสภาฯ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ กับการกระทำที่เกิดขึ้น

เนื้อหาในคลิปตอนหนึ่งระบุว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟัง เอ้อ…คนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าไปฟังฝั่งตรงข้ามกับเราอย่างแม่ทัพภาค 2 นี่ค่ะ (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) เป็นคนฝั่งตรงข้ามกับเราหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จอะ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ เพราะตอนเนี้ย ทางนั้น ทำอะไรออกมาก็อยากดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ แต่ว่าที่จริง ที่เราต้องการคือความสงบสุข เหมือนตอนก่อนที่จะปะทะกันตรงชายแดนนั่นค่ะ ให้ท่านฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย ตอนเนี้ย คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว เอ้อ…จริงๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ จะจัดการให้”

ทันทีที่เนื้อหาสาระในคลิปแรกที่มีความยาว 9 นาทีกว่าๆ หลุดออกมา เสียงวิจารณ์ในแง่ลบก็ดังกระหึ่ม คนไทยรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ กล่าวหา “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 เป็น “ฝ่ายตรงกันข้าม” หรือการยินยอมตกลงทำตามที่ “ฮุน เซน” เรียกร้องกับประโยคที่กลายเป็นไวรัลอย่าง “เห็นใจหลานหน่อย อยากได้อะไรก็บอกมา”

หลายคนเลยนึกไปถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น ระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” กับ “ฮุน เซน” ทำให้หลายคนคิดไปว่า หากมีการเจรจาปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดน เรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานในอ่าวไทย จะทำให้ไทยต้องเสียเปรียบหรือไม่

เพราะ “อดีตผู้นำกัมพูชา” เคยช่วย “อดีตนายกฯไทยรายนี้” ในช่วงเผชิญวิกฤติทางการเมือง เคยตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯกัมพูชา นอกจากนี้ “ฮุน เซน” ยังโพสต์ภาพและข้อความ ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกฯไทยในเดือนเม.ย.68 ที่นอกจากวาระอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีงานเลี้ยงสังสรรค์ของครอบครัว ซึ่งนายกฯไทย “อุ๊งอิ๊ง” และสามีของเธอได้รับประทานอาหารค่ำที่บ้านพักของผม

“ก่อนออกเดินทาง นายกฯไทยได้ขอเข้าชมห้องที่พ่อและอาของเธอเคยพัก บ้านของผมได้กันห้องไว้ให้พวกเขา 2 ห้อง ห้องหนึ่งมีชื่อว่า “ห้องทักษิณ” และอีกห้องหนึ่งชื่อว่า “ห้องยิ่งลักษณ์” สามีของนายก”ไทยได้ถ่ายภาพและวิดีโอของทั้งสองห้อง” และว่า สายสัมพันธ์ที่จริงใจระหว่างเราสองครอบครัวมานานกว่า 30 ปี ถูกทำลายลงด้วยการรั่วไหลของการสนทนาทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่กัมพูชาซึ่งโกรธเคืองกับการดูหมิ่นผมและนายกฯโดยอ้างว่าเราไม่เป็นมืออาชีพ” ฮุน เซน ระบุไว้

เลยมีคำถามตามมา นอกเหนือจากคลิปเสียง ห้องพัก 2 อดีตนายกฯของไทย ที่กรุงพนมเปญ “ฮุน เซน” ยังมีความลับที่เกี่ยวข้องกับ “ทักษิณ-ตระกูลชินวัตร” ที่อาจนำมาเปิดเผยอีก และอาจส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ของ “แพทองธาร” ได้

คงต้องรอลุ้นกันไป เพราะความสัมพันธ์ของ “ผู้นำ 2 ตระกูล” น่าจะปิดฉาก ต่างฝ่ายต่างเล่นบท “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน”

หลัง “แพทองธาร” แถลงภายหลังการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ระบุตอนหนึ่งไว้ว่า…“ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ (ดีอี) โดยศูนย์ AOC จะดำเนินการตรวจสอบบัญชีม้า และเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างเข้มงวด รวมถึงการระงับการบริการอินเทอร์เน็ต และประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ ที่ไปยังหน่วยงานทางการทหาร และความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด

นอกจากนี้ จะร่วมมือกับทาง ปปง.ในการสร้างมาตรการคว่ำบาตร ผู้ที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ ที่พบว่ามีการฟอกเงิน รวมถึงการยึด หรืออายัดทรัพย์สินที่โยกย้ายไปต่างประเทศด้วย ด้านการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าผ่านชายแดน ต้องระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาถึงความเหมาะสม ในการระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชา ที่จะนำเอาไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย”

นั่นหมายความว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมาอย่างเข้มข้นนี้ กระแทกตรงไปยังกล่องดวงใจผู้นำกัมพูชาไปเต็มๆ ต้องรอดูทาง “ฮุน เซน” และรัฐบาลกัมพูชาจะตอบโต้อย่างไร

แต่ผลพวง “คลิปลับ” ที่ทางผู้นำไทย กับผู้มีอำนาจสูงในกัมพูชา แม้ในทางการเมือง บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ยื่นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ในแง่กระบวนการตรวจสอบทางกฎหมาย และองค์กรอิสระ ซึ่งบางฝ่ายเรียกว่า “นิติสงคราม” ยังเดินหน้าต่อไป

โดยมีรายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ให้รับตรวจสอบเบื้องต้นกรณีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร กับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา โดยให้สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ถอดเทป พร้อมคำแปลภาษาต่างประเทศให้ถูกต้อง เนื่องจากถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญทางคดี ตลอดจนการสอบพยานผู้เกี่ยวข้อง

สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้นของ ป.ป.ช. นั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้รับเรื่องไว้ตรวจสอบเบื้องต้น ทางสำนักที่มีหน้าที่ในการดำเนินการ เช่น สำนักไต่สวนการเมือง ก็จะเข้าไปดำเนินการหาข้อเท็จจริง เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนให้ได้ข้อมูลประมาณ 70-80% ถ้าเห็นว่า ข้อมูลเพียงพอ ก็จะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะขึ้นมาไต่สวน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมีระดับรัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีกรรมการ ป.ป.ช. อย่างน้อยสองคนเป็นองค์คณะ หรือถ้าเรื่องสำคัญมาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะจะเป็นองค์คณะไต่สวนเอง ทั้งนี้ในการไต่สวนสามารถใช้ข้อเท็จจริงที่ได้จากตรวจสอบเบื้องต้นมาใช้ในสำนวนได้ด้วย ถ้าการไต่สวน เห็นว่าข้อกล่าวหามูลก็จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและชี้แจงข้อกล่าวหา จากนั้นจะสรุปสำนวนเพื่อชี้มูลความผิดต่อไป

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ยังได้แจ้งกำหนดนัดประชุมตุลาการศาลรธน.วันที่ 1 ก.ค.68 จากเดิมที่มีกำหนดประชุมในวันที่ 8 และ 15 ก.ค. โดยเป็นประเด็นที่ถูกจับตามอง อาจมีการพิจารณาคำร้องสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน นำโดย “พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา” ที่ร่วมกันยื่นคำร้องขอให้ศาลรธน.วินิจฉัยตาม รธน.มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ให้ความเป็นนายกฯของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน.มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯกัมพูชา โดยคำร้องยังขอให้ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

หาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” รับคำร้องและมีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯอันดับหนึ่ง รักษาการแทนตามลำดับ


ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.68 “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา ได้ลงนามถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อส่งหนังสือกล่าวหา “แพทองธาร ชินวัตร” ของ คณะสว. ประกอบการไต่สวนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรธน.หรือกฎหมาย เป็นทางการไปแล้ว 

นอกจากนี้ในวันเดียวกัน “มงคล” ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาล รธน. เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 ว่า ความเป็นนายกฯของ “แพทองธาร” สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ด้วย ซึ่งถือว่า ป.ป.ช.ใช้เวลาเพียง 3 วัน ก็รับการพิจารณาเรื่องคลิปเสียง ถือว่าใช้เวลารวดเร็วพอสมควร

ขณะเดียวกัน ประชาชนหลายจังหวัด ยังไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ “แพทองธาร” กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายพื้นที่ กรณีคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง “ฮุน เซน” กับ “แพทองธาร” โดยการกระทำดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรไทย ตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมันคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 119 มาตรา 120 มาตรา และ 122 ประกอบกับมาตรา 128 และมาตรา 129

นั่นหมายความว่า “หัวหน้ารัฐบาล” คงต้องตามลุ้น กับกระบวนการตรวจสอบของ “องค์กรอิสระ” และการดำเนินคดีของ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ในฐานะผู้รักษากฎหมาย หลังก่อนหน้านี้ “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยคำวินิจฉัยของศาล รธน. กรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ดังนั้น “แพทองธาร” อาจเดินซ้ำรอย “เศรษฐา” ก็ได้

ไม่เท่านั้น “แพทองธาร” ยังต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านของมวลชน อาทิ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มอดีตกปปส. กลุ่มอดีตนปช. กลุ่มคปท. นักวิชาการ ศิลปินนักแสดง ที่รวมตัวนัดแสดงพลังชุมนุมในภารกิจ “รวมพลังแผ่นดิน” ในวันที่ 28 มิ.ย.พร้อมกับข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออกทันที ซึ่งต้องจับตาว่า การชุมนุมของกลุ่มการเมืองดังกล่าวจะ “จุดติด” เป็นม็อบระยะยาวเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลได้หรือไม่

ขณะที่ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการตัดสินใจเดินหน้าต่อ เพื่อสนับสนุน “แพทองธาร” คง “หนีไม่พ้น” พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค และ “เอกนัฏ พร้อมพันธ์” เป็นเลขาธิการพรรค เพราะเป็นพรรคที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในสมัยยังทำหน้าที่นายกฯ ก่อนที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯเป็น “องคมนตรี”

ก่อนหน้านี้ หลายคนเชื่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะยังมี “ดีเอ็นเอลุงตู่” ที่ยึดมั่นในการปกป้องเอกราช และราชบัลลังก์ แต่ในที่สุด กลับตัดสินใจเลือกที่จะร่วม “รัฐบาลแพทองธาร” ต่อ ทั้งที่มี “แกนนำพรรค” ให้ข่าวว่า “พรรคมีมติให้น.ส.แพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ” แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น อาจเป็นเพราะ…พรรครวมไทยสร้างชาติ ในซีกของ “พีระพันธุ์” จะมีสส.เหลืออยู่ 18 คน แต่ ยังได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนเดิม ทำให้ยังขออยู่ต่อในรัฐบาลอีกต่อไป

จากนี้คงต้องรอดู “แรงกดดันภายนอก” จะกระทบกับเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ พรรคร่วมรัฐบาลยังเผชิญเสียงเรียกร้อง ให้ถอนตัวออกจากการสนับสนุน “แพทองธาร” หรือต้องเจอกระบวนการตรวจสอบของ “องค์กรอิสระ” ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ที่อาจจะทำให้ “หัวหน้ารัฐบาล” ต้องหลุดพ้นตำแหน่ง

เพราะอย่าลืมว่า “การเมืองไทย” มักมีเรื่องราวที่อยู่ “นอกเหนือความคาดหมาย” ให้เห็นอยู่บ่อยๆ

……………………………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย….“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img