วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSการเมืองเดือด “บิ๊กตู่”ระส่ำ “สิงหา-ตุลา” ปิดเกมม็อบเผาเมือง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

การเมืองเดือด “บิ๊กตู่”ระส่ำ “สิงหา-ตุลา” ปิดเกมม็อบเผาเมือง

ใกล้ตกอยู่สภาพ รัฐล้มเหลว” อย่างเต็มรูปแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หลังฝ่ายบริหารที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เผชิญความผิดพลาดในการควบคุมการระบาดของ “โควิด-3” รอบสาม

แต่การดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งเคยเป็นจุดแข็ง จนกลายเป็นประโยคที่พูดกันติดปากว่า ความสงบจบลงที่ลุงตู่” กำลังกลายเป็นแค่อดีต แม้ภาครัฐจะออกมาตรการเข้าควบคุมอย่างเข้มงวด ใช้ทั้ง พรก.ฉุกเฉิน อีกทั้งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา 

โดยเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ “หัวหน้าผู้รับผิดชอบ” ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 9)

โดยระบุว่า 1.ให้ยกเลิกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2564 

และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2564

โดยให้ดำเนินการตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 30) ลงวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2564 หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประกาศ ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2564 “พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสท.)หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งถือเป็นการใช้ยาแรงพอสมควร  

ก่อนหน้านั้นหลายคนรับรู้ว่า เกือบตลอดเดือนสิงหาคม 64 บรรดาเครือข่ายราษฎร ซึ่งหลายคนเย้ยหยันเป็นพวกสามกีบ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว วางกำหนดทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถูกมองต้องการขับเคลื่อนเชื่อมโยงไปกับ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ซึ่งเตรียมการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยพุ่งเป้าไปที่พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าศบค. เพราะรวบอำนาจในการสั่งการแก้ไขปัญหา ในการบพุ่งกับ สงครามโรค” ไว้ทั้งหมด มุ่งเน้นตีแผ่การบริหารจัดการแก้ไขปัญหา อันเนื่องมาจากเชื้อไวรัสร้าย ซึ่งมีใบเสร็จเป็นตัวเลขคนเจ็บคนตาย

ยิ่งห้วงเวลานี้ถือว่า รัฐบาลมีความอ่อนแอมากที่สุด ฝ่านค้านจึงเห็นว่า ถ้าหากโหมรุกไล่ทั้งในและนอกสภาฯ จะทำให้รัฐบาลเกิดสภาพห่วงหน้าพะวงหลัง แต่การทำกิจกรรมเมื่อม็อบร้อยชื่อ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ตามการนัดหมายโดยกลุ่มราษฎร 

ประกอบด้วย คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.), กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย DRG, เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย, ทะลุฟ้า, ศาลายาเพื่อประชาธิปไตย, รีเด็ม, สหภาพคนทำงาน และ SUPPORTER THAILAND นัดหมายชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเคลื่อนขบวนยังพระบรมมหาราชวัง แม้ว่าจะไปไม่สามารถถึงเป้าหมาย แต่ก็มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูง (คฝ.) อย่างหนักบริเวณสาเหลี่ยมดินแดน เกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย 

อีกทั้งนี้บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รถขนผู้ต้องหา ของตำรวจถูกเผาไฟลุกท่วมเสียหายทั้งคัน ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของผู้ชุมนุม ซึ่งมีรถดับเพลิงพยายามเข้าไปดับไฟ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนไล่ พร้อมที่จะเข้าไปทำลาย คนขับรถดับเพลิงจึงตัดสินใจขับรถออกไป ขณะที่ผู้ชุมนุมบางคนปัสสาวะใส่รถตำรวจที่ไหม้ไฟอยู่ ซึ่งถูกวิจารณ์เป็นการเหยียดตำรวจ แถมในช่วงค่ำๆ ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ก็ถูกทำลาย 

เช่นเดียวกับการทำกิจกรรม โดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นัดหมาย “คาร์ม็อบ” วันที่ 10 สิงหาคม ช่วงค่ำเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมบางส่วน และนำมาสู่มวลชนหนึ่งก่อเหตุเผาป้อมยามตำรวจบริเวณทางด่วนดินแดนและอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า หลังจากนี้การชุมนุม จะมีความรุนแรง มากขึ้นเรื่อยๆ   

ด้าน “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เปิดเผยผ่านคลิปที่โพสต์ลงเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุถึงการนัดชุมนุม เดินหน้า CAR PARK 15 สิงหาคม พร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ เสียงขับไล่ประยุทธ์จะสะเทือน เลื่อนลั่นทั้งแผ่นดิน จะการเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบรูปแบบเดิม เพิ่มเติมคือการปราศรัยไฮปาร์คที่ยกระดับอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

“นี่ไม่ใช่ภารกิจของสีเสื้อ แต่เป็นการต่อสู้ เพื่อเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และชีวิตที่ดีกว่าของประชาชนจากคาร์ม็อบ เป็นคาร์ปาร์ค จนกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะคาที่ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ตามความรุนแรงที่เกิดขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับการที่แกนราษฎร ถูกเพิกถอนประกันตัว อันเนื่องมาจากกระทำผิด เงื่อนไของศาลอาญา ซึ่งกำหนดไว้ทั้งห้ามทำกิจกรรม สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง และ สร้างความเสื่อมเสียกับสถาบัน ทั้ง “ไผ่ ดาวดิน-จตุภัทร์ บุญภัทรไพศาล” “เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์” “ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก” “อานนท์ นำภา” 

โดยเฉพาะศาลจังหวัดธัญบุรี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าตามข้อกล่าวหาผู้ต้องหาได้กระทำการโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวมในภาวะที่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในวงกว้าง ทั้งที่ผู้ต้องหาอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอื่นอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย 

เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์

หากปล่อยชั่วคราวไปเชื่อว่าผู้ต้องหา จะไปก่อเหตุอันตราย ประการอื่นอีก ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 108/1(3) ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงไม่มีเหตุที่ จะปล่อยชั่วคราว ระหว่างสอบสวน ให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ผู้ต้องหาและผู้ยื่นคำร้อง ขอปล่อยชั่วคราว ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว

นอกจากนี้ “ศาลอาญา” ยังมีคำสั่งให้ เพิกถอนประกัน “เพนกวิน” จำเลยที่ 1 คดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ตามที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 7 โจทก์ ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว 

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์มีภาพถ่ายของจำเลยที่ 1 ที่ได้โพสต์รูปตนเองและแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ซึ่งข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานดังกล่าวรับฟังได้อย่างชัดแจ้งโดยไม่จำต้องทำการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงปรากฏเพิ่มเติมอีก

การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถือว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาด้อยค่าหรือลดคุณค่าของ องค์พระมหากษัตริย์และจะมีผลเสื่อมเสียต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ ในที่สุด อันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ทั้งศาลเคยตักเตือนจำเลยที่ 1 และกำชับจำเลยที่ 1 ผ่านผู้กำกับดูแลมาแล้ว จึงให้เพิกถอน การปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ให้ผู้ประกันจำเลยที่ 1 (แม่เพนกวิน) ส่งตัวจำเลยที่ 1 ต่อศาลภายใน 3 วัน โดยให้แจ้งคำสั่งให้ผู้ประกันจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ทราบ

คำถามคือ นับจากนี้การชุมนุม บรรดาม็อบปลดแอก ซึ่งได้แนวร่วมคือคนเสื้อแดง จะพัฒนาไปถึงขั้น จะมีเหตุความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นหรือ เพราะมีข่าวว่า เป้าหมายที่แท้จริง ต้องการสร้าง สถานการณ์ให้สุกงอม ในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อหวังสร้างสตอรี่ให้เหมือน 14 ตุลาฯ 16 เป้าหมายคือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  เพียงแต่ว่าลำพังการเคลื่อนไหวของเด็กและเยาวชน ภายใต้สัญลักษณ์สามนิ้ว ถูกวิจารณ์ว่าไม่ใช่พลังบริสุทธิ์มีนัการเมืองหนุนหลัง แต่ติดอยู่ที่ยังเป็นเยาวชน ทางการอาจไม่ต้องการใช้มาตรการเด็ดขาด 

www.thaigov.go.th

ขณะที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งต้องเผชิญมาตรการตรวจสอบ ทั้งในและนอกสภาฯ ยังต้องมาเผชิญรแรงกดดันนอกสภาฯ ซึ่งไม่รู้ว่าจะพัฒนาไปถึงไหน แม้จะมีประสบการณ์การรับมือกับม็อบสีเสื้อต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี  49 เป็นต้นมา แต่ม็อบก็มีการพัฒนารูปแบบ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือการเมืองนับจากนี้ ต้องดูแบบวันต่อวัน แม้ว่าทุกองคาพยพฝ่ายบริหารยังได้รับการสนับสนุนจากเหล่าทัพอย่างเต็มที่

แต่ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งของบ้านเอง ยังเดาไม่ได้ว่าประเทศไทยจะเดินไปทางไหน แต่มีข่าว “มือทำงานคนสำคัญ” เริ่มตรวจสอบ ฤกษ์ผานาที หากต้อง ปฏิบัติภารกิจสำคัญ โดยมีสองห้วงเวลาที่มีโอกาสประสบความสำเร็จเหมือนช่วงพฤษภาคมปี 57 คือ เดือนกันยายน และ เดือนตุลาคม 64 หรือบางทีเราอาจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

…………………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย “แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img