ใครก็ตามเข้ามาอยู่ในแวดวงการเมืองไทย ก็ยากที่จะรอดพ้นกระบวนการตรวจสอบไปได้ แม้จะมีเครือข่ายใหญ่โตแค่ไหน มีสื่อหลายสำนักคอยดูแล มีนักวิชาการคอยปกป้องคุ้มภัย มีนักเคลื่อนไหวบางสีเสื้อช่วยเป็นเกราะกำบังให้ แต่เรื่องราวความดำมืดบางด้านที่ถูกเก็บงำไว้ หลายครั้งก็ถูกเปิดเผยออกมาจนได้
เช่นเดียวกับ “แพทองธาร ชินวัตร” หรือที่ใครต่อใครชอบ เรียกกันติดปากว่า “อุ๊งอิ๊ง” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เปิดตัวเข้าร่วมกิจกรรม “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ในระหว่างประชุมใหญ่สามัญประจำปี เข้าไปมีตำแหน่งสำคัญในแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคพท.
แม้บุตรสาว “พี่โทนี่-ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสถานะเป็นนักโทษหนีคดี จะออกตัวว่า ยังไม่ใช้นักการเมือง แต่ดูบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มองอย่างไรก็หนีไม่พ้นภารกิจเพื่อประโยชน์พรรคการเมือง ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของบิดาบังเกิดเกล้าและ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” มารดาของเธอ นั่นแหละ
“เป็นหน้าที่ที่ต้องเชื่อมต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น ให้แต่ละรุ่นเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความคิด วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมมีความสำคัญมาก มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันจะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานทางความคิดร่วมกัน”
“เราต้องพยายามเข้าใจรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นเดียวกับเรา ให้เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความเข้าใจ พรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน จะต้องเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย เทคโนโลยีผ่านไปอย่างมากมาย” คำกล่าวของ “แพทองธาร” และยืนยันว่าจะตั้งใจทำงานเต็มที่ในฐานะที่ปรึกษา แม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ขอมุ่งมั่นทำงานด้วยความตั้งใจจริงในฐานะคนไทยคนหนึ่ง
ในฐานะลูกของคุณพ่อที่ไม่เคยลืมบุญคุณแผ่นดินไทย ไม่เคยลืมพี่น้องคนไทยที่ไม่เคยลืมท่าน และคุณพ่อหวังว่าจะได้กลับมากราบแผ่นดินไทยอีกครั้ง
ดังนั้นจึงไม่ใช้เรื่องแปลก ถ้าคำพูดบุตรสาวคนสุดท้องของ “ทักษิณ” ซึ่งระยะหลังหลายคนคุ้นกันในชื่อ “โทนี่ วู้ดซั่ม” หลังออกมาสื่อสารผ่านผ่านคลับเฮ้าส์ตลอด จะถูกตีความว่า ภารกิจสำคัญของ “อุ๊งอิ๊ง” คงหนีไม่พ้น การหาช่องทางนำพาคุณพ่อกลับบ้านอย่างเท่ๆ หลังจากเคยล้มเหลวสมัย “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งพยายามผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีเนื้อหาล้างผิดแบบสุดซอย จนเป็นเงื่อนไขให้ “พรรคพท.” หลุดจากอำนาจรัฐมาจนถึงวันนี้
รวมทั้งการแย่งชิงฐานคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่กับ “พรรคก้าวไกล” (กก.) ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค และมี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า คอยเป็นกองหนุนแบบใกล้ชิด
จะว่าไปใครก็มองออก การผลักดันบุตรสาวคนสุดท้อง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น สมบัติชิ้นสำคัญของ “ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ถือเป็นการ เดิมพันครั้งสำคัญ เพราะรู้ดีว่า ช่วงเวลาที่ห่างหายจากอำนาจรัฐ กำนาจรัฐเกือบ 8 ปีเต็ม และยังไม่รู้ว่า รัฐบาลจะปล่อยมือจากอำนาจรัฐเมื่อไหร่ เพราะยังไม่มีการส่งสัญญาณเรื่องยุบสภา ไม่มีทีท่าว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะลาออกจากตำแหน่งนายกฯตามแรงกดดันของพรรคฝ่ายค้าน
ดังนั้นจึงไม้เรื่องแปลก เมื่อบุพการี “อุ๊งอิ๊ง” จะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐกลับมาอยู่ในความดูแลของเครือข่ายตนเองให้ได้ หากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “พท.” ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มีสถานะเป็นฝ่ายค้าน ใครตามการเมืองก็คงมองออกว่า จะเกิดอะไรขึ้นชะตากรรมของฝ่ายตรงข้ามอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นไปอย่างที่รับรู้กัน นักการเมืองประเทศไหนก็ตาม ไม่มีใครอยากมี สถานะเป็นฝ่ายค้าน เนื่องจากมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ หรือภาษาทางการเมืองคือ “อดอยากปากแห้ง” มานาน
อย่าลืมการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2562 “ทักษิณ” เดินเกมพลาดอย่างมหันต์ เมื่อเลือกเล่น “ของสูง” สั่งการคนใกล้ชิดตั้งพรรคสาขา “ไทยรักษาชาติ” (ทษบ.) แล้วเสนอชื่อ “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ” เป็นแคนดิเดตนายกฯ จน ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ตัดสินยุบพรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหาร 10 ปี จึงนำบทเรียนครั้งนำมาสู่ การเลิกแนวทางแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ประกาศผ่านแกนนพท.ว่า เลือกตั้งครั้งต่อไป ต้องคว้าชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งรัฐบาลแข็ง
แต่การเมืองไทยมีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย หลังจาก “แพทองธาร” กระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง เรื่องราวในอดีตของบุตรสาว “โทนี่” ก็เริ่มถูกขุดคุ้ยออกมาให้สังคมเห็น เมื่อวันที่ 29 ต.ค.64 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์รูปภาพครั้ง “อุ๊งอิ๊ง” สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย “ทักษิณ” ผู้เป็นพ่อร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาว
พร้อมโพสต์ข้อความประกอบว่า วันนี้พอเห็นที่ปรึกษาพรรคพท.ออกมาแถลงข่าวแล้ว นึกถึงบทสัมภาษณ์ของ “อาจารย์ ไชยันต์ ไชยพร” เมื่อปีพศ.2549 ขึ้นมาทันที ขึ้นต้นว่า “ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวัง จะสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ”
พร้อมทั้งนำบทสัมภาษณ์ รศ.ดร.ไชยันต์ ซึ่งตอนหนึ่งระบุว่า “เราไม่ควรเอาตัวของเราไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับรอง การกระทำความผิดทางการเมืองของผู้นำ” ซึ่งเผยแพร่ทางนิตยสารสารคดี ปีที่ 22 ฉบับที่ 255 ประจำเดือนพฤษภาคม 2549 หน้า 46-60
อีกทั้งยังมีรายละเอียดระบุอีกว่า “….เคยมีคนโทรศัพท์มาต่อว่าผม บอกว่านายกฯทักษิณดีมาก นักวิชาการไม่รู้จริงหรอก ด่าว่าผมสารพัด ผมก็ปล่อยให้เขาพูดไป พอเขาพูดจบ ผมก็ถามเขากลับเกี่ยวกับเรื่อง ข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว ว่าเขาคิดยังไง เขาก็บอกข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยปล่อยให้ข้อสอบรั่วน่ะสิ อาจารย์เอาข้อสอบไปขาย ผมก็บอกไม่ใช่ คนออกข้อสอบคือกระทรวงศึกษาธิการ
เสร็จแล้วผมก็บอกว่าพอมีข้อครหาเกิดขึ้นมา นายกฯ ไม่ลงมาเล่นประเด็นนี้ ด้วยตัวเองเลย ขณะที่เวลามีวิกฤตอื่นๆ นายกฯลงมาเร็วมาก ที่สำคัญข้อสอบมารั่วในปีที่ลูกสาวนายกฯสอบด้วย เด็กคนนั้นมีประวัติการ สอบครั้งแรกคะแนนน้อย แต่พอข้อสอบรั่วคะแนนกลับสูง ถึงตอนนี้เขาก็พูดเลยว่าถ้านายกฯ ทำดีขนาดนี้ ก็ยกให้ลูกเขาสักคนไม่เห็นเสียหาย
ผมเลยบอกว่า…..คุณลองคิดดู ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวังจะ สอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ คนที่สอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ หางานทำได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้นะ เขาจะ ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เขาช่วยเหลือครอบครัวของเขาได้ การให้การศึกษาคนมันยั่งยืน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นระบบที่มีคุณธรรม ยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพมานานแล้ว
ผมบอกเขาต่อว่า คุณลองคิดดูสิว่าพอหลังจากมีการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว พบว่าข้อสอบไปรั่วที่ คุณวรเดช จันทรศร (เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาขณะนั้น) จากนั้นคุณวรเดชก็ถูกขอให้ลาออกไป แต่ล่าสุด คุณวรเดชกลับมาเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุณตอบผมมาสิ นายกฯ ทักษิณทำอะไรอยู่ เขาก็บอกว่า แล้วผมจะกลับไปไตร่ตรองครับอาจารย์ อาจารย์พูดมีเหตุผล
ผมเลยคิดว่าคนที่ชอบนายกฯ ทักษิณโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจ้างหรือให้เงินนะ ชอบเพราะคิดไปว่านายกฯทักษิณทำดี และเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนส่วนใหญ่ แบบนี้ยังคุยกันรู้เรื่องนะ ผมคิดว่าถ้าให้เวลา 3-4 เดือนโดยที่สื่อโทรทัศน์-วิทยุช่วยกันกระจายข่าวสารข้อมูลความจริงออกไป หรือเปิดให้มีเวทีสาธารณะมากขึ้น ระบอบทักษิณจะหมดไปทันที เพราะคนไม่โง่หรอก เพียงแต่ถูกปิดกั้นข่าวสาร และความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของพวกเขา ไม่ใช่ดีแต่ช่วงสั้นๆ ….”
ใครตามข่าวเรื่องข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว คงจำได้ว่าเคยเป็น ข่าวใหญ่เมื่อปี 2547 ช่วงที่ “ทักษิณ” ดำรงตำแหน่งนายกฯ ขณะที่ “ดร.วรเดช” ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีการเรียกข้อสอบเอ็นทรานซ์มาตรวจดูก่อนการสอบจะเริ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งผิดปกติ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นเมื่อ “แพทองธาร” จบจากโรงเรียนมาแตร์เดอี แล้วเอ็นทรานซ์ติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ก็เลยเกิดข้อครหา ว่ามีรายการข้อสอบรั่ว
อีกทั้งยังมีการวิเคราะห์ไปถึงคะแนนรายวิชา โดยพบว่าบางวิชาที่ “อุ๊งอิ๊ง” ทำคะแนนไม่ดีมาตลอด ก็กลับมีคะแนนดีในการสอบเอ็นทรานซ์ จากนั้นมีการสอบสวน “ดร.วรเดช” กรณีเรียกดูข้อสอบเอ็นทรานซ์ บทสรุปออกมาว่า กระทำผิดวินัยจริง เลยขอลาออกจากผู้บริหารคณะกรรมการอุดมศึกษา เพื่อต้องการลดกระแส อย่างไรก็ตามต่อมา “ดร.วรเดช” ได้รับแต่งตั้งจาก “ทักษิณ” ให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี
นอกจากเรื่องข้อสอบรั่ว ฝ่ายตรงข้ามยังเป็นขุดภาพเก่ามาแชร์กัน ซึ่งเป็นภาพ “อุ๊งอิ๊ง” ขณะนั่งเคียงข้างพ่อ ฟังคำพิพากษาคดีร่วมกันจงใจ หลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากร หุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาทจากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2551 ครั้งนั้น “คุณหญิงพจมาน” ตกเป็นจำเลยอยู่ด้วย แล้วเบะปากต่อหน้าบัลลังก์ศาลอาญา ในระหว่างมีการอ่านคำพิพากษา
ซึ่งต่อมา “แพทองธาร” ได้ตอบคำถามแฟนคลับรายหนึ่งผ่านโซเชียล เมื่อถูกถาม“คุณอิ๊ง…เส้นเข้าจุฬาฯจริงหรอคะ” ว่า “จุฬาฯ เส้นเข้าได้ด้วยหรอคะ คำถามบางทีต้องใช้วิจารณญาณด้วยค่ะ สอบเข้าไปเองค่ะ”
“อ่านหนังสือ เรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง เหมือนเด็กที่เตรียมเอ็นท์ในสมัยนั้นทุกคน ขอบคุณทุกกำลังใจด้วยนะคะ Haters gonna hateสบายมาก เรื่องนี้เก่าไปมาก เขาสอบสวนกันจบเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้วค่ะ (จะ 20 ปียังนะ) ยังต้องขุดแหละเนอะ เดี๋ยวไม่มีสีสัน”
จากนี้ไปชีวิตทายาทคนสุดท้องของ “ทักษิณ” คงไม่เหมือนเดิมแน่ ก็ต้องจับตาภารกิจของ “โทนี่” จะสามารถผลักดันแพทองธาร ให้มีตำแหน่ง “นายกฯคนที่ 5” ต่อท้ายสำเร็จหรือไม่ แม้ชะตากรรมอดีตนายกฯทั้ง 4 คน จะจบลงด้วยวิบากกรรม ที่ไม่มีใครอยากจดจำก็ตาม
………………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”