วิบากกรรม“ปารีณา”จุดไฟแค้น หันรับบท“นักรบนอกสภาฯ”          

ช่วงแรกที่บรรดากองชัง และฝ่ายตรงข้าม “เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” อดีตส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้รับรู้ถึงคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ตัดสินห้ามอดีตส.ส.หญิงพรรคแกนนำรัฐบาลห้ามเล่นการเมือง อันเนื่องมาจากฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง อาจจะรู้สึกสะใจ ตีอกชกตัวด้วยความดีใจ

ด้วยเห็นว่า “เอ๋” เป็นองครักษ์พิทักษ์ “นายกฯลุงตู่” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพปชร.

แต่เมื่อผลการตัดสินคดีดังกล่าว กำลังย้อนไล่ล่านัการเมืองอีกหลายพรรค หลายคนก็เริ่มออกอาการร้อนๆ หนาวๆ ไม่แน่ใจว่า ข้อมูลที่จะมีการขุดคุ้ยต่อจากนี้ไป จากฝ่ายที่อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เกี่ยวกับเรื่องการถือครองที่ดิน และการชี้แจงหนี้สินและทรัพย์สินต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะกลายเป็น “ของมีคม” ย้อนกลับทิ่มแทงตัวเองภายหลังหรือไม่ เพราะใครก็รู้ “การเมืองไทย…ไม่มีใครยอมใคร”  

ย้อนมาดูรายละเอียดในคดีนี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2565 ศาลฎีกา นัดฟังคำพิพากษา คดีที่ ป.ป.ช.เป็นผู้ร้อง มี น.ส.ปารีณา ปัจจุบันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นผู้คัดค้าน กรณีถูกกล่าวหาว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการบุกรุกป่าเพื่อทำฟาร์มเลี้ยงไก่ในจ.ราชบุรี ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ผู้คัดค้าน (น.ส.ปารีณา) ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม

มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกา สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และ ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของผู้คัดค้านตลอดไป และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี มีผลให้ผู้คัดค้าน ไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้ง เป็น ส.ส., สว., ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 235 วรรคสี่ และพ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 87 และมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง

ต้องถือว่า น.ส.ปารีณา ถือเป็นนักการเมืองรายแรก ที่ศาลฎีกาพิพากษากรณี ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยผลจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ราชบุรี

ตามแนวทางไต่สวนของ ป.ป.ช. ระบุว่า ในช่วงปี 2545-2546 “ทวี ไกรคุปต์” อดีตส.ส.ราชบุรี บิดาของ น.ส.ปารีณา ได้เข้ามา ประกอบกิจการเลี้ยงไก่ และระหว่างการครอบครอง ต่อมา น.ส.ปารีณาเข้ามาเป็นผู้ซื้อขายไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบกิจการปศุสัตว์ดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าเข้ามายื่นคำขอใช้ที่ดินปฏิรูป แต่กลับมีพฤติการณ์ถือครอง และกระจายการถือครอง ก่อนดำเนินการ ถือครองในชื่อของน.ส.ปารีณา อีกครั้ง

ป.ป.ช.จึงเห็นว่า พฤติการณ์ของน.ส.ปารีณา ต้องการหลีกเลี่ยง มิให้ที่ดินดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน เพื่อประโยชน์ของธุรกิจตน หรือผลประโยชน์ส่วนตัวแต่ฝ่ายเดียว ไม่ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

การกระทำของน.ส.ปารีณา ผู้ถูกกล่าวหา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2562 ข้อ 11 และข้อ 17

หลังจากรับทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ช่วงแรกๆ ดูเหมือนอดีตส.ส.หญิงพรรคแกนนำรัฐบาล จะออกอาการซึมเศร้า แต่เพียงไม่นาน “น.ส.ปารีณา” ก็กลับมาเป็นคนเดิม พร้อมประกาศจะเล่นบท “นักตรวจสอบนอกสภาฯ” ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค พปชร.อีกต่อไป หลายคนก็เริ่มร้อนๆ หนาวๆ

ขณะที่ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้เร่งรัดการไต่สวนสอบสวนและวินิจฉัย 18 ส.ส. ที่ยึดถือ ครอบครอง ที่ดินของรัฐในรูป ส.ป.ก.และ ภ.บ.ท.5 โดยเฉพาะที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้แล้ว กรณีการถือครองที่ดิน ส.ป.ก.ของ น.ส.ปารีณา เป็นเหตุให้ต้องตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น

นักเคลื่อนไหวคนสำคัญ ที่มักร้องให้ตรวจสอบเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลต่างๆ บอกภายหลังยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ว่า เพื่อไม่ให้เกิดการลักลั่น หรือเลือกปฏิบัติ เพราะยังมี ส.ส.หลายราย ที่สมาคมฯได้ร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งระยะเวลาไล่เลี่ยกับการร้องเรียนกรณีของปารีณา

คือ ครั้งแรกวันที่ 20 พ.ย.62 จำนวน 3 ราย (มีน.ส.ปารีณา ด้วย)

ครั้งที่ 2 วันที่ 27 พ.ย.62 จำนวน 3 ราย

ครั้งที่ 3 วันที่ 4 ธ.ค.62 จำนวน 13 ราย รวม 19 ราย โดยเป็น ส.ส.พรรค พปชร. 5 ราย, พรรคเพื่อไทย (พท.) 4 ราย, พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 5 ราย, พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 2 ราย, พรรคก้าวไกล (กก.) 2 ราย, พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รพช.) 1 ราย ซึ่งถือครองที่ดิน ส.ป.ก.จำนวน 6 ราย ถือครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 จำนวน 12 ราย แต่เหตุใดกรณีของ น.ส.ปารีณา ป.ป.ช.จึงวินิจฉัย ส่งให้อัยการฟ้องต่อศาลฎีกาได้เร็วกว่าส.ส.รายอื่นๆ ทั้งๆ ที่สมาคมฯ ร้องเรียนไปในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน

ส่วน ส.ส.ที่ถือครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 แม้ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ชี้มูลความผิดเป็นบรรทัดฐาน แต่เมื่อเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2519 ก็อาจทำให้ ป.ป.ช.วินิจฉัยได้ง่ายขึ้น เพราะ “ผู้ที่มีชื่อในใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้เสียภาษีเท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานแสดงว่าผู้นั้นมีสิทธิครอบครอง”

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงมายื่นคำร้องในวันนี้ เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เร่งรัดการไต่สวนสอบสวน และวินิจฉัย ส.ส.อีก 18 รายที่เหลือที่ถือครองที่ดิน ส.ป.ก. และ ภ.บ.ท.5 เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเหมือนกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อไป” ศรีสุวรรณ ระบุ

ด้าน “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการครอบครองที่ดินของ ส.ส. ที่ก่อนหน้านี้มีการร้องมายัง ป.ป.ช.เพื่อให้เอาผิดข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ลักษณะเดียวกับน.ส.ปารีณาว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากมีการร้องเรียนเข้ามาอยู่หลายรายพอสมควร

โดยนอกจาก “ศรีสุวรรณ” เคยมายื่นเอาไว้ 19 รายชื่อ ยังมีคนอื่นมายื่นอีก และมีที่ ป.ป.ช.ตรวจพบจากการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน 50-60 ราย แต่ไม่ได้หมายความว่า ทั้ง 50-60 ราย จะมีมูลเหมือนกับของ น.ส.ปารีณาทั้งหมด ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป ทั้งนี้สำหรับเรื่องการครอบครองที่ดินมีการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนไปบ้างแล้ว ประมาณ 1-2 ราย

“แต่ละกรณีข้อเท็จจริง อาจจะมีความแตกต่างกัน และมีความยุ่งยากแตกต่างกัน อย่างกรณีคุณปารีณา ทางหน่วยงานลงไปตรวจสอบและส่งข้อมูลมาให้ ป.ป.ช.ทั้งหมด เลยวินิจฉัยได้ง่าย แต่รายอื่นต้องมี การประสานกับหน่วยงานอื่น ลงไปตรวจสอบ และลงพื้นที่ไปดูว่าครอบครองที่ดินเมื่อไหร่ อย่างไร ตรงนี้เป็นความยุ่งยากพอสมควร” นิวัติไชย กล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้คนเข้าใจว่า ถ้ามีความผิดเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน จะผิดข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงทั้งหมด นิวัติไชย ตอบว่า “ต้องย้อนกลับไปดู คำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีของ น.ส.ปารีณา ว่าวินิจฉัยอย่างไร เราต้องถอดออกมา เช่น ประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง “รู้หรือไม่รู้” รู้แล้วมีการดำเนินการแก้ไขหรือไม่ จำนวนหรือปริมาณการครอบครองที่ดิน และความเสียหายที่ก่อให้เกิดกับรัฐสูงหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องดูเป็นรายๆ ไปเกี่ยวกับหลักการครอบครอง”

จากนั้นไม่นาน “ปารีณา” ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “เมื่อ ป.ป.ช. บอกว่าต้องดูว่าที่ดินได้มาถูกต้องหรือไม่ และแต่ละเคสมีความแตกต่างกันนั้น แน่นอนว่า ทุกเคสมีความแตกต่างกัน แต่คำพิพากษาชัดเจนว่า มิได้สนใจว่าได้ที่ดินมาได้อย่างไร แต่สำคัญว่า นักการเมืองไม่สามารถครอบครอง ยึดถือ หรือทำประโยชน์ในที่ดินรัฐได้ ผิดจริยธรรมร้ายแรง

และต่อให้ส่งมอบที่ดินคืนให้กับรัฐแล้ว ก็ยังคงผิดจริยธรรม เนื่องจากจะต้องคืนทันที ที่ได้รับมอบ หรือง่ายๆว่า ไม่ว่าจะคุณจะได้โดยมรดก ไปซื้อมา หรือก่อนเคยเป็นเกษตรกร แต่หากคุณเป็นนักการเมืองแล้ว คุณจะต้องคืนที่ … ทันที!!!ให้กับรัฐ เพราะคุณขาดคุณสมบัติในการยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์แล้ว ผิดจริยธรรมร้ายแรง

ส่วนความล่าช้าในการดำเนินคดีนั้น ช้าจริง เพราะตอนนี้ ป.ป.ช. ได้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีแล้ว ซึ่งปกติ ป.ป.ช. จะใช้เวลาประมาณ 180 วันในการพิจารณา จึงขอให้ ป.ป.ช. ได้โปรดดำเนินการเร่งรัด และดำเนินคดีกับทุกคนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ”

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 เม.ย.65 “ปารีณา” ยังโพสต์ภาพขณะเดินทาง พร้อมข้อความระบุว่า “ปารีณาเตรียมยื่นร้องจริยธรรมต่อ ป.ป.ช..กรณีเสรีพิศุทธ์บุกรุกลำน้ำที่เจ้าพระยา และที่กาญจนบุรีค่ะ”

จากนี้ต้องรอดูว่า ใครจะมีปัญหาซ้ำรอยอดีต ส.ส.หญิงพรรค พปชร. เพราะคำพิพากษาศาลฎีกา กรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ไม่ได้มีแค่เรื่องการครอบครองที่ดิน ซึ่งได้มาไม่ถูกต้องเท่านั้น ยังมีประเด็นอื่นๆอีก  โดยเฉพาะพฤติกรรมตบทรัพย์ รีดเงิน ดังนั้นต้องจับตาดูว่า ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป อันเนื่องมาจากพฤติกรรม และการกระทำที่ไม่ถูกของตัวเอง ยิ่งคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานไว้แล้ว

และจากวิบากกรรมของ “ปารีณา” ยังทำให้คนบางกลุ่ม ที่ชอบ โจมตีกระบวนยุติธรรมบ้านเรา ว่า “มีสองมาตรฐาน” ทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ วันนี้ต้องเงียบเสียงไปในทันที และยังถูกจับตามอง เมื่อถึงวันที่ต้องรับกรรม  ของตนเอง จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือไม่

………………..

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”