คงไม่มีประเทศไหนที่จะโชคร้ายเหมือนประเทศไทย อันเนื่องมาจากการระบาดระลอกใหญ่ของโควิด-19 นั้นเกิดขึ้นเพราะ ธุรกิจมืด ทั้งจาก ขบวนการค้าแรงงานเถื่อน บ่อนการพนัน และ แหล่งอโคจร เช่นผับที่อยู่ในกำมือของผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่รัฐไม่กี่คน
ยิ่งแทบไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจมืด หรือเศรษฐกิจใต้ดินใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว สะท้อนจากตัวเลขของ The Global Economy ในปี 2015 ระบุว่า มีสัดส่วนอยู่ที่ 43.12% เมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีหรือเศรษฐกิจในระบบของประเทศไทย นั่นแปลว่า มีธุรกิจเถื่อนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจในเงามืดของไทยมีขนาดใหญ่เกือบจะครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจจริงๆ ขณะที่อัตราเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่เพียง 27.78%เท่านั้น
ขณะเดียวกันข้อมูลจากงานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ชาวยุโรปบ่งชี้ว่า ระบบเศรษฐกิจใต้ดินของประเทศกลุ่มที่พัฒนาแล้ว จะมีสัดส่วนต่อ GDP น้อยที่สุดอยู่ที่ประมาณ 17% ในขณะที่ในประเทศกลุ่มที่กำลังพัฒนาอยู่ที่ประมาณ 35%
แต่สำหรับประเทศไทยเคยมีการประเมินกันว่า เม็ดเงินที่สะพัดในระบบเศรษฐกิจใต้ดินราว 50% ของจีดีพี.เลยทีเดียว เม็ดเงินธุรกิจใต้ดินเหล่านี้ ก็จะถูกแปรรูปมาเป็น “ส่วย” ให้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทั้งนักการเมืองระดับชาติ จนถึงระดับท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รัฐ คนในเครื่องแบบที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ลองคิดดูว่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลแค่ไหน
หากเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเศรษฐกิจมืดของไทยยังใหญ่ที่สุดอันดับ 2 รองจากเมียนมา (51%) ใหญ่กว่าเวียดนาม (14.8%) และลาว (25%) เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อทั้งที่ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงแต่กลับปล่อยให้ธุรกิจเถื่อนเติบใหญ่ขนาดนี้ได้
เศรษฐกิจใต้ดินเป็นสัญญาลักษณ์ของประเทศกำลังพัฒนา นั่นคือยังพัฒนาไม่เต็มที่ หากพัฒนาแล้วและบ้านเมืองมีความโปร่งใสจะไม่ปล่อยให้เรื่องนอกระบบโตขนาดนี้ หากเราต้องการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำคือเอาเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินเท่าที่จะทำได้ ทำให้ธุรกิจนอกระบบมาอยู่ในระบบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ความท้าทายของไทยอยู่ตรงที่ รัฐบาลจะกล้าสู้รบปรบมือกับผู้ทรงอิทธิพล “ตัวจริง” ที่กอบโกยจากธุรกิจใต้ดินสารพัดหรือไม่ ใครๆ ก็รู้กันทั้งเมืองว่า บรรดาคนเหล่านี้นี่แหละ ที่เป็นฐานคอยค้ำจุนอำนาจของรัฐบาลมาเกือบทุกรัฐบาล
ล่าสุด “พลเอกประยุทธิ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ๒ ชุด ชุดแรก ให้ตรวจสอบการลักลอบเข้าเมือง เป็นเหตุให้โควิดระบาด รอบ ๒ นายภักดี โพธิศิริ อดีต ป.ป.ช. เป็นประธาน และ ชุดที่สอง ให้ตรวจสอบการกระทำความผิดกรณีบ่อนการพนัน เป็นเหตุให้โควิดแพร่เชื้อชุดนี้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน
ทั้ง ๒ ชุด มีอำนาจตั้งอนุกรรมการ, คณะทำงาน และประสานหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอข้อมูล รับเรื่องร้องเรียน เบาะแสจากประชาชนได้ และสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวคนผิดมาลงโทษได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนทั่วไป หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม การตรวจสอบต่างๆ “รายงานลับ” ต่อนายกฯโดยตรง ก็ไม่รู้ว่าการตั้งขึ้นมาจะช่วยแก้ปัญหาหรือแค่ซื้อเวลา นอกจากจะทำงานซ้ำซ้อนกับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงแล้ว เกรงว่าจะเป็นแค่ “เสือกระดาษ” เหมือนที่ผ่านๆมาเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ทางออกในเรื่องนี้ไม่ยากหากรัฐบาลจริงใจกล้าเอา “ธุรกิจใต้ดิน” มาอยู่ “บนดิน” เปิดให้บ่อนการพนันที่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการกำกับดูแล และมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋าผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่บางคนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
แต่ที่ผ่านมาไม่มีรัฐบาลไหนกล้าทำ ก็เพราะเกรงใจ “คนกันเอง” ทั้ง ตำรวจ กองทัพ นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงใน เศรษฐกิจมืด ที่มีมูลค่ามหาศาล ธุรกิจผิดกฎหมายพวกนี้ยังอยู่ได้ด้วยส่วย เช่น ส่วยนำเข้าคนต่างด้าวมาทำงาน ส่วยเปิดบ่อน เศรษฐกิจในเงามืดของเราจึงเป็นเศรษฐกิจที่อยู่ได้ด้วยส่วยอย่างแท้จริง
ถ้ารัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีจบจากสถาบันที่ฝึกฝนเพื่อเป็นคนกล้าหาญ แต่หากไม่กล้าจัดการเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีรัฐบาลไหนกล้ากว่านี้อีกแล้ว…หรือจะปล่อยให้ธุรกิจมืดเหล่านี้เป็นเชื้อร้ายกัดกินสังคมและเศรษฐกิจไทยไปเรื่อยๆ
…………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”