วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSOR หุ้นดี...แต่ระวังปัจจัยเสี่ยง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

OR หุ้นดี…แต่ระวังปัจจัยเสี่ยง

ชั่วโมงนี้ในแวดวงของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย ไม่มีใครปฏิเสธถึงความร้อนแรงของ หุ้น OR หรือ “บมจ.ปตท.น้ำมันและค้าปลีก” ซึ่งเป็นหุ้นที่คนทั่วไปพูดถึงมากที่สุด ได้เปิดเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2564 เวลา 09.00 น. โดยจะเสนอขายไปจนถึงช่วงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564

กระแสความร้อนแรงสะท้อนจากแค่เปิดจองวันแรกความต้องการก็คึกคักจนทำให้ มีผู้เข้าใช้งาน โมบายแบงกิ้ง ของ 3 แบงก์ อย่างถล่มทะลาย จนเกิดปัญหาขัดข้อง เข้าใช้งานไม่ได้ ทั้งแอปพลิเคชั่น K PLUS ของธนาคารกสิกรไทย และแอปบัวหลวงแบงกิ้ง ของธนาคารกรุงเทพทันทีที่เปิดจอง

ทั้งนี้ OR จะนำหุ้นเสนอขายประชาชนครั้งแรกจำนวน 2,610 ล้านหุ้น และมีหุ้นส่วนเกินหรือกรีนชูจัดสรรอีกไม่เกิน 390 ล้านหุ้น รวมหุ้นที่เสนอขายทั้งสิ้น 3,000 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายเบื้องต้นอยู่ระหว่าง 16-18 บาทโดยจะจัดสรรประกอบด้วย หุ้นจำนวน 1,860 หุ้น ขายให้นักลงทุนในประเทศ แยกเป็นเสนอขายประชาชนทั่วไป จำนวน 595.70 ล้านหุ้น จองซื้อผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ในจำนวนขั้นต่ำ 300 หุ้น และทวีคูณ 100 หุ้น

ในการจัดสรรหุ้นให้ประชาชนนั้น จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ SETTRADE ของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจัดสรรขั้นต่ำหรือรายละ 300 หุ้นก่อน เหลือจึงจัดสรรเพิ่มเติมรายละ 100 หุ้น จะประกาศผลจัดสรรภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้

ส่วนหุ้นอีก 1,264.30 หุ้น จะจัดสรรให้นักลงทุนสถาบันภายในประเทศส่วนนักลงทุนสถาบันต่างประเทศจัดสรร จำนวน 450 ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นให้ผู้ถือหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อีก 300 ล้านหุ้น ในสัดส่วนผู้ถือหุ้น PTT จำนวน 95.1977 หุ้น จะได้รับการจัดสรร OR จำนวน 1 หุ้น ในราคาเบื้องต้น 18 บาท

ดังนั้นจะมีหุ้นเสนอขายประชาชนทั่วไปทั้งสิ้น 985.70 ล้านหุ้น โดยรวมหุ้นกรีนชูอีก 390 ล้านหุ้น ซึ่งหากเฉลี่ยจัดสรรรายละ 300 หุ้น จะมีประชาชนถือหุ้น OR จำนวนทั้งสิ้น 3.24 ล้านราย นั่นหมายความว่า OR จะเป็น หุ้นมหาชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

กล่าวสำหรับธุรกิจของ OR ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจหลัก 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มแรก คือ ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งไม่ใช่แค่การขายในปั๊มเท่านั้น แต่ยังมีส่วนธุรกิจที่ขายให้ลูกค้าพาณิชย์รายใหญ่อีกกว่า 2 พันรายจากตัวเลขรายได้ธุรกิจน้ำมันปี 2563 กว่า 417,730 ล้านบาท

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil Business) แม้จะสร้างรายได้ราว 19,180 ล้านบาท หรือไม่ถึง 5% รายได้บริษัทก็ตาม แต่ที่น่าสนใจตรงที่สัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และตัดจำหน่าย (EBITDA) ถึง 25.1%

สะท้อนว่าในอนาคตแผนการลงทุน 5 ปีข้างหน้า ยังจะเน้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ อาทิ แผนขยายร้านคาเฟ่ อเมซอน จาก 3,168 แห่ง เป็น 5,800 แห่ง ทั้งในปั๊มและนอกปั๊มรวมถึงผู้สนใจขอรับสิทธิแฟรนไชส์ รวมถึงร้าน Texas Chicken ก็มีแผนขยายเพิ่มปีละ 20 แห่งอีกด้วย

ที่สำคัญยังมุ่งหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ต่อยอดธุรกิจทั้งซัพพลายเชนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาเสริมตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมรับกับเทรนด์การใช้รถอีวี โดยเปิดให้บริการจุดชาร์จไฟฟ้ากับรถอีวีที่ PTT Station 25 แห่ง และมีแผนเพิ่มจุดบริการให้ครอบคลุมตลอดเส้นทางหลักๆอีกด้วย

สุดท้าย คือ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ เป็นอีกธุรกิจที่มีอนาคตสดใสและมีแผนขยายตลาดให้กว้างขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีการขยายทั้งธุรกิจน้ำมันและร้านคาเฟ่ อเมซอน ไปเกือบ 10 ประเทศ และ 5 ปีจากนี้จะเน้นขยายลงทุนในอาเซียน

ทั้งนี้ผลประกอบการ ในปี 2563 ที่ผ่านมา ยังเป็นตัวเลขคาดการณ์รายได้ที่ 448,192 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 8,154 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่า หุ้น OR มีจุดแข็งหลายอย่าง อย่างแรกเลย โครงสร้างธุรกิจมีความแข็งแกร่งและครองความเป็นเจ้าตลาด ด้วยความที่เป็นเจ้าของทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านกาแฟ Café Amazon ที่มีสาขาทั่วประเทศไทย

จุดแข็งต่อมาและกลายเป็นจุดขายของหุ้น OR ก็คือ ผลการดำเนินงานที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.1%

และจุดแข็งสำคัญคือ ปตท. การันตีความมั่นคงและความเข้มแข็งของ OR ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นบริษัทแกนนำของกลุ่ม ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีก และยังได้รับการสนับสนุนจาก ปตท.โดยคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการน่าจะสดใส นักลงทุนที่จองซื้อจึงตั้งเป้าที่จะฟันกำไรงามๆ

อย่างไรก็ตามหุ้น OR ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปมกรณีการแบ่ง “สมบัติแผ่นดิน” คืนคลังยังไม่สะเด็ดน้ำสะท้อนจาก ก่อนกระจายหุ้น OR ยังมีเสียงทักท้วงมาจาก นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และพวก ที่เตือน ปตท. ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะคดีแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินคืนคลังยังมีข้อพิพาทที่ยังไม่ยุติ แม้ว่าทาง OR ออกมายืนยันว่า ไม่มีสมบัติแผ่นดิน ในธุรกิจของบริษัท ก็ตาม

อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองอันเกิดจากการเคลื่อนไหวของม็อบที่เห็นต่าง ทั้งหมดนี้ย่อมจะส่งผลกระทบต่อกิจกรมมทางเศรษฐกิจอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง…ฉะนั้นแม้หุ้น OR จะเป็นหุ้นดีมีอนาคตสดใส แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่

……………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img